Custom Search
วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ระดับของการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศเชิงกลยุทธ์


ปัจจุบันการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศเชิงกลยุทธ์มิได้เกี่ยวข้องกับการ จัดการเชิงกลุยุทธ์ภายในแต่ละองค์การเท่านั้น แต่ได้ ขยาย ขอบเขตการดำเนินงาน ของระบบให้ครอบคลุมการใช้งานของลูกค้า (Customer) ผู้ขายวัตถุดิบ (Supplier) และพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Alliances) ซึ่งทำให้เกิดการใช้สารสนเทศ ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Information Interdependence) เช่น การสำรองที่นั่งของสายการบิน การซื้อ-ขายหลักทรัพย์ การสั่งซื้อสินค้า และการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange .EDI) เป็นต้น เราเรียกระบบในลักษณะนี้ว่า "ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การ (Interorganizational Information System)" ระบบ สารสนเทศระหว่างองค์การสามารถประยุกต์ให้เป็นประโยชน์และ ตอบสนองความต้องการของทุกฝ่าย ทั้งในด้านความ สะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และลดความซ้ำซ้อนของขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ตลอดจนถึง การนำสารสนเทศไปประยุกต์เชิงกล ปัจจุบันระบบสารสนเทศทางธุรกิจได้รับความสนใจนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย ในหน่วยงานทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาล ซึ่งครอบ คลุม กิจกรรม ของธุรกิจมากกว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลการประมวลผลข้อมูล การส่งผ่านข้อมูล และการควบคุมการปฏิบัติงานเท่านั้น หลาย องค์การ ได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการดำเนินการทางธุรกิจที่ซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงสุด เพื่อรักษา โอกาสทางธุรกิจและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน โดยมุ่งหวัง ให้ธุรกิจสามารถธำรงอยู่และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลาง กระแสการ เปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม

ปกติองค์การจะยังไม่นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ในเชิงกลยุทธ์ในขั้นตอนเริ่มต้นของการนำระบบสารสนเทศมาใช้งาน แต่จะมีกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป ใน การ เรียนรู้ถึงศักยภาพของ เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมักจะแปรผันตามความสามารถ ด้านสารสนเทศ ขององค์การ (Organizational Information Capability) ซึ่งจะมีความ แตก ต่างกันตามพัฒนาการของแต่ละองค์การโดยเราสามารถ จำแนกการนำเทคโนโลยีสารสเนทศมาประยุกต์กับกลยุทธ์องค์การออกเป็น 3 ระดับ ดังต่อไปนี้
1. อิสระต่อกัน (Independent) จะเป็นระดับเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การ โดยระบบสารสนเทศจะไม่เกี่ยวข้อง โดยตรงกับการ กำหนดกลยุทธ์ขององค์การเทคโนโลยีสารสนเทศ ถูกนำมาใช้สนองวัตถุประสงค์เบื้องต้นคือ เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แต่ละด้านขององค์การ เช่น หน่วยปฏิบัติงาน การเงิน การตลาด และทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นระบบส่วนใหญ่จะประมวลงาน ประจำวัน เช่น รายงานลูกค้า รายงานประจำวัน เป็นต้น
2. ร่วมกำหนดนโยบาย (Policy Formulation) ระบบสารสนเทศถูกพัฒนาขึ้น เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร โดยการนำข้อมูลที่ ผ่านกระบวนการ ประมวลผลมาใช้ประกอบ การกำหนดและวางนโยบายขององค์
3. การกำหนดนโยบายร่วมกัน (Policy Exccution) การประยุกต์เทคโนดลยีสารสนเทศในระดับนี้จะเป็นขั้นสูงสุด ของความสัมพันธ์ ระหว่างเทคโนดลยีสารสนเทศกับองค์การ โดยเทคโนโลยี สารสนเทศจะเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดกลยุทธ์ องค์การและการนำนโยบาย ไปปฏิบัติ เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีความสัมพันธ์ในเชิงบูรณาการกับกลยุทธ์ขององค์การ
หัวใจสำคัญของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้งานคือ การสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ให้แก่องค์การ แต่งาน สารสนเทศ ส่วน ใหญ่ยังอยู่ในระดับปฏิบัติการ ซึ่งต้อง อาศัย ระยะเวลาและความ เข้าใจจากผู้บริหารในการพัฒนา ระบบสารสนเทศ ให้มีความกลมกลืน กับองค์ การ การพัฒนาระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ไม่สามารถดำเนินการอย่างรวดเร็ว โดยขาด ความรู้และความ เข้าใจที่แท้จริง เพราะ ว่า ต้อง ใช้เงิน ลงทุนสูงและอาจมีปัญหาที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น โดยวิธีการที่เหมาะสมในการ สร้างระบบ สารสนเทศ เชิงกลยุทธ์คือ การตรวจสอบ ระบบ ที่ใช้ งาน ในปัจจุบันว่ามีขีดความสามารถเพียงใดและสามารถ พัฒนาให้สอดคล้อง กับการดำเนินงานในระดับสูงได้อย่างไร โดยไม่ลืมพิจารณา ความสามารถ และศักยภาพในการพัฒนา ด้านสารสนเทศ ของบุคคล เป็นสำคัญ
เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การดำเนินงานของธุรกิจมีความซับซ้อนขึ้น องค์การ ต้องจัดวางแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งทำให้การจัดการเชิงกลยุทธ์กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ดังที่ King (1978) กล่าวว่า "ระบบการวางแผนเชิงกลยุทธ์ คือ ระบบการ จัดการที่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ถูกกระทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยสารสนเทศภายในขอบเขตขององค์การและจากสิ่งแวดล้อมด้านการจัดการ" ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สารสนเทศได้กลายเป็นทรัพยากรที่ สำคัญในการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ขององค์การ
เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทที่สำคัญต่อภาคธุรกิจมากกว่าเก็บรวบรวมการประมวลผลข้อมูล และการจัดทำรายงานเสนอต่อผู้บริหาร ซึ่งเป็นความท้าทายต่อความสามารถ ของผู้บริหารที่ต้องสามารถประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศให้เหมาะสมกับการทำงานของธุรกิจ เพราะการลงทุนด้านสารสนเทศที่สูง มิได้หมายความว่าองค์การจะสามารถสร้างความได้เปรียบคู่แข่งขัน เสมอไปแต่การลงทุนด้านสารสนเทศก็มิใช่จะประสบความราบรื่นเสมอไป การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์อาจสร้างผลกระทบต่อบุคลากรและการดำเนินงานองค์การ เช่น งานบางอย่างล้าสมัย ทำให้บุคลากรบางส่วนไม่สามารถปรับตัวได้ทัน หรือความไม่สมดุลย์ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์การ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูง เป็นต้น นอกจากนี้มีหลายกรณีที่การนำสารสนเทศมา ใช้งานในองค์การประสบความล้มเหลว เพราะบางองค์การมีข้อมูลมากแต่มีสารสนเทศน้อย (Data rich but information poor.) ซึ่ง Scott Morton (1992) กล่าวว่า เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างแรงผลักดันที่มี ต่อองค์การ 5 ประการ ดังต่อไปนี้
1. เทคโนโลยี (Technology) เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วซึ่งส่งผลโดยตรงต่อรูปแบบการทำงานขององค์การ เช่น ลดระยะเวลาในการปฏิบัติงาน ลดขั้นตอนในการทำงาน กำหนดโครงสร้างและกฏเกณฑ์ใหม่ ร่นเวลาและระยะทางในการติดต่อลง เป็นต้น
2. บทบาทของบุคคล (Individuals and Roles) พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศในองค์การ ทำให้บุคคลมีเครื่องมือและกระบวนการปฏิบัติงานใหม่ ซึ่งส่งผลให้บุคคลต้องผ่านการฝึกอบรมและศึกษา ใหม่ เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์การยังมีผลต่อความใกล้ชิดระหว่างบุคคล ตลอดจนการรับรู้ การเรียนรู้ และความรู้สึกของบุคคล
3. โครงสร้าง (Structure) หลายองค์การต้องการปรับโครงสร้างใหม่ให้สอดคล้องกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้งาน เช่น การรื้อปรับระบบ (Reengineering) การจัดองค์การแบบเครือข่าย (Network Organization) การลดขนาดองค์การ (Downsizing) หรือการจัดขนาดให้เหมาะสม (Rightsizing) เป็นต้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการตอบสนองต่อโอกาสและการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นขององค์การ
4. กระบวนการจัดการ (Management Process) สังคมปัจจุบันในช่วงของการเคลื่อนย้ายอำนาจ (Power Shift) จากการดำเนินงานที่อาศัยความได้เปรียบด้านแรงงาน (Labor Intensive) หรือปัจจัยพื้นฐาน ทางธุรกิจมาเป็นการดำเนินงานที่อาศัยความได้เปรียบเชิงความรู้ (Knowledge Intensive) ซึ่งต้องอาศัย "บุคลากรที่มีความรู้ (Knowledge Worker)" โดยบุคลากรกลุ่มนี้จะมีลักษณะที่แตกต่างจากแรงงานทั่วไป เช่น การศึกษาสูง รสนิยม ค่านิยมและทัศนคติสมัยใหม่ เป็นต้น ดั้งนั้นผู้บริหารต้องปรับรูปแบบการจัดการ เพื่อให้เหมาะสมและจูงใจบุคคลเหล่านี้ให้ทำงานอย่างเต็มความสามารถ
5. กลยุทธ์ (Strategy) ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญเชิงกลยุทธ์ในหลายองค์การ เนื่องจากศักยภาพและความคล่องตัวในการใช้งานจึงถูกนำมาประยุกต์ เพื่อสร้างและธำรง รักษาความได้เปรียบในการแข่งขันให้แก่องค์การ
ปัจจุบันระบบสารสนเทศเล่นบทบาทสำคัญต่อการดำรงอยู่ขององค์การ หลายครั้งชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของธุรกิจขึ้นอยู่กับความสามารถ ในการน ำเทคโนโลยี สารสนเทศมาประยุกต์ในการดำเนินงาน เพื่อให้ธุรกิจมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ระบบสารสนเทศทำให้การจัดการเชิงกลยุทธ์มีประสิทธิภาพ และในทางกลับกัน องค์การต้องมีกลยุทธ์ในการพัฒนาระบบสารสนเทศที่เข้มแข็ง โดยที่การนำเทคโนโลยี สารสนเทศมาประยุกต์เชิงกลยุทธ์เกิดจากแรงผลักดัน 2 ประการ ดังต่อไปนี้

1. การผลักของเทคโนโลยี (Technology Push) เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้อุปกรณ์ด้านสารสนเทศมีความสามารถสูงขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำลงนอกจากนี้ การเชื่อมต่อระบบสารสนเทศเข้าเป็นเครือข่าย ทำให้การใช้ทรัพยากรร่วมกัน บริหารความเหมาะสม ซึ่งลดค่าใช้จ่ายในการทำงานที่ซ้ำซ้อน ส่งผลให้องค์การสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

2. การดึงของการตลาด (Marketing Pull) เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาประยุกต์ในองค์การทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้องค์การต้องหาเครื่องมือที่ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันหรือพยายามสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งขัน โดยการพัฒนานวตกรรม (Innovation) ด้านผลิตภัณฑ์และบริการ
ปัจจุบันเราเริ่มรับรู้และเคยชินกับองค์การสมัยใหม่ (Modern Organization) ที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ ทำให้มีโครงสร้างและลักษณะการดำเนินงานที่แตกต่างจาก องค์การแบบเดิม (Traditional Organization) อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น
- การติดต่อสื่อสารและการไหลเวียนของข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย (Networking System) สร้างความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และไม่ซับซ้อนในการทำงาน ทำให้องค์การสามารถลดจำนวนงานบางอย่าง ลง และจัดรูปแบบการ ดำเนินงาน ให้มี โครงสร้างที่แบบราบ (Flat Structure)
- ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพช่วยลดลำดับขั้นในการจัดการ (Management Hierarchy) และทำให้การควบคุม กว้างขึ้น (Wider Span of Control) ซึ่งส่งเสริมการติดต่อสื่อสารภานในองค์การและการ ใช้ทรัพยากรบุคคล ให้มี ประสิทธิภาพสูงสุด
- ระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัย ทำให้บุคคลสามารถทำงานอยู่คนละที่ (Remotely Connection) ซึ่งจะลด การติดต่อ สื่อสารแบบเผชิญหน้าโดยตรง จึงต้องอาศัยความเชื่อถือ (Trust) ระหว่าองค์การ กับบุคลากร ตลอดจนต้องให้อำนาจในการ ตัดสินใจ (Empowerment) แก่บุคลากรเพิ่มมากขึ้น
- การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์การ ส่งผลให้บุคลากรมีคุณภาพเพิ่มขึ้นทั้งด้าน ศักยภาพส่วนตัวและ จากสารสนเทศ ที่เขาได้รับ ซึ่งทำให้การปฏิบัติงานและการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและถูกต้อง
- การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศทีส่งผลต่อการปรับองค์การให้มีการใช้อุปกรณ์สำนักงานและการสูญเสียทรัพยากรน้อยลง เช่น สำนักงานไม่ใช้กระดาษ (Paperless Office) เป็นต้น

ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อองค์การดังต่อไปนี้
1. ประโยชน์โดยตรง ปกติองค์การเริ่มนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้

เนื่องจากประโยชน์โดยตรงที่ได้รับจากระบบสารสนเทศนั้น เช่น ชุดคำสั่งด้านการบัญชีและการเงิน ชุดสำหรับการ ประมวลผลคำ (Word processing) หรือฐานข้อมูล (Database) เป็นต้น โดยการลงทุนในระบบ สารสนเทศ จะเป็น ไปตามราคาของอุปกรณ์ ชุดคำสั่ง และค่าจ้างบุคลากรเฉพาะด้าน การนำระบบสารสนเทศมาประยุกต์ ใช้ในลักษณะนี้จะทำให้ องค์การเกิดการเรียนรู้และเข้าใจถึงประโยชน์ต่อเนื่องที่ได้จากเทคโนโลยี

2. ความยืดหยุ่น เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงานให้แก่องค์การ ส่งผลให้องค์การสามารถ พัฒนาและปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์นอกจากนี้เทคโนโลยี สารสนเทศยังช่วยเสริมความยืดหยุ่น ในการตัดสินใจแก่ผู้บริหารให้สามารถตัดสินใจอย่างรวดเร็วและสอดคล้องกับลักษณะปัญหา เนื่องจากระบบสารสนเทศ สามารถประมวลผลและจัดเรียงข้อมูลในหลาย รูปแบบภายในระยะเวลาสั้น จึงให้ผู้บริหาร มีความเข้าใจและสามารถ วิเคราะห์ปัญหาอย่างชัดเจน

3. ความสามารถในการแข่งขัน นอกจากการใช้งานตามประโยชน์โดยตรงแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาประยุกต์ เพื่อให้องค์การสามารถสนองความต้องการของลูกค้า และพัฒนาการดำเนินงาน ทั้งภายในและภายนอก องค์การได้เร็ว กว่าคู่แข่ง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างและธำรงรักษาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

4. รายได้ เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มรายได้แก่องค์การทั้งโดยตรงและทางอ้อม เช่น การรวบรวมและให้บริการและ ให้บริการด้านสารสนเทศที่เป็นประโยชน์แก่องค์การอื่น การสร้างนวัตกรรมใหม่ ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และบริการ โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีความสะดวก รวดเร็ว ตรงความต้องการของลูกค้า หรือการลดระยะเวลาในการดำเนินงาน เป็นต้น

5. ค่าใช้จ่าย ประโยชน์ประการสำคัญของการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินงานปัจจุบันคือ การลดค่าใช้จ่าย และการเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานภายในองค์การเช่น การประเมิน ผลข้อมูล การตรวจสอบ และการควบคุม ค่าแรงงาน เป็นต้น โดยเทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยส่งเสริมการใช้แรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการใช้ ทรัพยากร ซ้ำซ้อน ซึ่งช่วยให้เกิดการประหยัดขึ้น แก่องค์การ

6. คุณภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาประยุกต์ในการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อให้ระบบผลิต หรือการให้บริการสามารถดำเนินงานไปตามต้องการ ตลอดจนผลิตภัณฑ์และบริการ มีมาตรฐานตามที่กำหนด เช่น ระบบ ตรวจสอบคุณภาพผลิตภายในโรงงานระบบควบคุมอุณหภูมิห้อง และระบบตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร เป็นต้น

7. โอกาส ปัจจุบันความได้เปรียบด้านสารสนเทศได้สร้างความแตกต่างระหว่าง องค์การองค์การ ที่มีศักยภาพด้าน สารสนเทศ สูงย่อมสามารถนำความรู้มาประยุกต์ในการสร้างโอกาสในการดำเนินงานทั้งทาง ตรง เช่น การนำสารสนเทศมา ประยุกต์เชิงกลยุทธ์ และทางอ้อม เช่นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบการพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ
10.4 การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศกับกลยุทธ์
กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์จะประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. การกำหนดเป้าหมาย (Goal Formulation) นักกลยุทธ์ต้องกำหนดเป้าหมายขององค์การออกมกาเป็นรูปธรรม ซึ่งมักจะ อยู่ในรูปของ "ภารกิจ (Mission)" หรือ "วัตถุประสงค์ (Objictive)" เป้าหมายเป็นเครื่องสะท้อน ความต้องการในอนาคต ของ องค์การ โดยนักกลยุทธ์ต้องพิจารณาว่าเขาต้องการให้องค์การเป็นเช่นไรในอนาคต
2. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (Environmental Analysis) นอกจากการกำหนดเป้าหมายที่ต้องการแล้ว นักกลยุทธ์จะ ต้อง ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจ โดยพิจารณาทั้งในด้านดีและ ด้านไม่ดี เพื่อทำการเปรียบเทียบ ศักยภาพและความ พร้อมของ องค์การ ปกตินักกลยุทธ์จะแยกการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมออกเป็น 2 ส่วน ดังต่อไปนี้
2.1 ปัจจัยภายในองค์การ ( Internal Factors) หมายถึง ส่วนประกอบขององค์การที่มีผลต่อศักยภาพในการบรรลุ เป้า หมาย ของธุรกิจ ซึ่งนักกลยุทธ์จะต้องพิจารณาทั้งจุดแข็ง (Strength) และ จุดอ่อน (Weakness) ขององค์การ เพื่อตรวจสอบความ พร้อม ของ องค์การในการดำเนินงานด้านกลยุทธ์
2.2 ปัจจัยภายนอกขององค์การ (External Environment) หมายถึง สิ่งแวดล้อมภายนอกที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงาน ขององค์การ ซึ่งเราจะต้องพิจารณาถึงโอกาส (Opportunity) และข้อ จำกัด (Threat) ในการดำเนินงานขององค์การ
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมช่วยให้นักกลยุทธ์รับทราบภาพลักษณ์ขององค์การทั้งในด้านความสามารถและเปรียบเทียบ กับ สิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับสุภาษิตจีนที่ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะ ทั้งร้อยครั้ง" โดยที่นักธุรกิจนิยมเรียกวิธีการ วิเคราะห์ สภาพแวดล้อมว่า "การวิเคราะห์ SWOT (SWOT Analysis)"

3. การกำหนดและการวางแผนกลยุทธ์ (Strategy Formulation and Planning) เราสามารถกล่าวได้ว่า ปัจจัยสำคัญ ในการ กำหนดกลยุทธ์มีอยู่ 3 ประการ คือ สภาพแวดล้อมภายนอก สภาพแวดล้อม ภายใน และเป้าหมายขององค์การ เนื่องจาก เป้าหมายจะให้ภาพที่ชัดเจนถึงความต้องการ ในขณะที่การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมจะทำให้ทราบถึงศักยภาพขององค์การ และความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ

นักกลยุทธ์นำข้อมูลที่ได้จากการกำหนดเป้าหมายและการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมมากำหนดกลยุทธ โดยกำหนดประเด็น สำคัญเชิงกลยุทธ์ (Strategic Issue) แผนการ วิธีปฏิบัติและประเมินรายละเอียด ของแผนการณ์ เพื่อให้องค์การ สามารถนำ กลยุทธ์ไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ

4. การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Strategy Implementation) เป็นขั้นตอนที่สำคัญต่อความสำเร็จของการจัดการเชิงกลยุทธ์ ถึงแม้กลยุทธ์จะถูกกำหนดขึ้นอย่างดี แต่ถ้าไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ก็ไม่ต่าง อะไรจากความฝัน นอกจากนี้ถ้านำแผนกลยุทธ์ไป ปฏิบัติแล้วล้มเหลวอาจก่อให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงต่อองค์การทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม

การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติต้อง พิจารณาอย่างรอบคอบถึงการจัดสรรทรัพยากร ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในคุ้มค่าเงินลงทุน ตลอดจนปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของกลยุทธ์ทั้งโดย ทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะต้องมั่นใจ ว่าผู้นำ กลยุทธ์ไปปฏิบัติมีความเข้าใจในเป้าหมายขององค์การและเป้าหมายของกลยุทธ์เป็นอย่างดี

5. การควบคุมกลยุทธ์ (Strategy Control) การควบคุมเป็นการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินว่าการดำเนินงาน เป็นไปตาม แนวทางที่ต้องการหรือไม่ ซึ่งมีลักษณะเป็นวงจรย้อนกลับ (Feedback Loop) ที่นำข้อมูลจากการดำเนินงานขององค์การ มา พิจาราณาว่าเป็นไปตามความต้องการหรือไม่ เพื่อจะได้กาแนวทางในการปรับปรุงให้เหมาะสม โดยความเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นอาจ เป็นผลมาจากหลายสาเหตุ เช่น แผนกลยุทธ์อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง หรืออาจเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างรุนแรงของปัจจัย ที่มีผล ต่อการดำเนินธุรกิจขึ้นในระหว่างการดำเนินงาน เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่รุนแรงของภาคธุรกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้องค์การธุรกิจสมัยใหม่มีการดำเนินการทางกลยุทธ์ ตลอดช่วง ชีวิตขององค์การ กลยุทธ์สำคัญที่ ธุรกิจนิยมนำมาประยุกต์ในปัจจุบัน ได้แก่

1. แรงหลักดันจากลูกค้า (Customer Driven) การเปิดเสรีทางการค้าในอุตสาหกรรมและบริการหลายประเทศ ทำให้คู่แข่ง สามารถเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมากและลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจ เลือกซื้อมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับลูกค้า ธุรกิจต้อง พยายามหาความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยอาศัยการศึกษาและการวิจัยตลาด เพื่อที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ สอดคล้องความ ต้องการของลูกค้า

2. การแข่งขันระดับโลก (Global Competition) การเติบโตที่รวดเร็วและพัฒนาการที่ต่อเนื่องของระบบเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ส่ง ผลให้หลายธุรกิจขยายตัวจนมีขอบเขตข้ามพรมแดนของรัฐ หรือ ที่เรียกว่า "บริษัทข้ามชาติ (Multinational Corporation , MNC)" ทำให้ธุรกิจที่อยู่รอดในอนาคตจะต้องพัฒนาความเข้มแข็งและความสามารถในการปรับตัวให้รวดเร็วและถูกต้อง เพื่อที่จะ แข่งขันบนเวทีโลกได้ อย่างสมบูรณ์

3. การกำหนดขนาดที่เหมาะสม (Rightsizing) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ผู้บริหาร องค์การ ต้องทำการปรับรูปแบบโครงสร้างองค์การให้เหมาะสม โดยการใช้ ทรัพยากรร่วมกัน (Shared Resources) เพื่อลด ความฟุ่มเฟือย ในการ ใช้ทรัพยากรทางธุรกิจและสามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

4. คุณภาพ (Quality) ในปัจจุบันทั้งธุรกิจและผู้บริโภคต่างตื่นตัวต่อแนวความคิดด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการให้บริการ เนื่องจากลูกค้า ไม่เพียงแต่ต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการเท่านั้น แต่เขา ต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับเงิน ที่เสียไป หลายองค์การ ได้ พยายามพัฒนาคุณภาพและบริการของตน โดยนำหลักการจัดการด้านการดำเนินงานสมัยใหม่ (Modern Operations Management) มาประยุกต์ให้ในการสร้างคุณภาพของงาน เช่น การจัดการคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management , TQM) การผลิตแบบไม่มี ข้อผิดพลาด (Zero Defect) หรือคุณภาพจากแหล่งกำเนิด (Quality at Source) เป็นต้น

5. เทคโนโลยี (Technology) ธุรกิจนำเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน ไม่เพียงเพื่อเพิ่มผลผลิตภาพรวมขององค์การ เช่น การลดค่าใช้จ่ายและ ระยะเวลาในการดำเนินงานให้สั้นลงเท่านั้น แต่เทคโนโลยี ได้กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญเชิงกลยุทธ์ ซึ่งช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันแก่ธุรกิจ นอกจากนี้การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ของธุรกิจยังช่วย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในความรู้สึกของผู้บริโภค
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นสร้างผลกระทบที่สำคัญต่อการดำรงอยู่และการเจริญเติบโตของธุรกิจ องค์การธุรกิจต้องสามารถ ปรับตัวให้ทัน ต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เทคโนโลยีสารสนเทศที่เคยถูกนำมาใช้เสริมสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงานของ แต่ละกิจกรรมตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การเงิน การตลาด การดำเนินงาน และทรัพยากรบุคคลได้รับความสนใจนำมาใช้ประกอบการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Operations) เพื่อพัฒนาและธำรง รักษาความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Abilety) ขององค์การ การประยุกต์ เทคโนโลยีสารสนเทศต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในการกำหนดแนวทางปฏิบัติที่สอดรับกัน (Harmony) ระหว่างโครงสร้างองค์การ กลยุทธ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นงานที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนสูง

10.1 กลยุทธ์ธุรกิจ

"กลยุทธ์ ยุทธวิธี หรือยุทธศาสตร์" แปลมาจากภาษาอังกฤษ "Strategy" ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า "Strategia" หมายถึง "Generalship" หรือศาสตร์และศิลป์ในการ บังคับบัญชากองทัพ ปกติกลยุทธ์เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในทางทหารในเรื่อง เกี่ยวกับการ สงคราม และแนวทางในการเอาชนะศัตรู ซึ่งได้รับความสนใจจากนักการทหารในทุกประเทศจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่อง จากในอดีตการปกครองและ การทหาร จะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยผู้ปกครองมักจะเป็นผู้นำทางการทหาร หรือผู้นำทางการ ทหารมักจะเข้ามา มีบทบาทและ อำนาจ ทางการเมือง กลยุทธ์จึงได้ รับความสนใจจากนักการเมืองและนักปกครองที่พยายาม ศึกษา และนำหลักการมาประยุกต์ในการสร้าง ฐานอำนาจ การขึ้นสู่อำนาจ การรักษาอำนาจ และการปกครองคนหมู่มากให้อยู่ร่วมกันอย่าง สงบสุข
เนื่องจาก "กลยุทธ์" ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในหลายแนวทาง เช่น กลยุทธ์การตลาด กลยุทธ์ในการสงคราม กลยุทธ์ การ ครอง เรือน กลยุทธ์ในการพัฒนาประเทศ และ กลยุทธ์การเกษตรเป็นต้น ดังนั้นเราจะกล่าวถึง "กลยุทธ์ธุรกิจ" ตามความหมายของผู้เชี่ยวชาญ ในสาขา นี้เป็นสำคัญโดยเราจะศึกษาจากความหมายของ ohmae วิศวกรนิวเคลียร์ชาวญี่ปุ่น ซึ่งทำงานให้กับบริษัท ที่ปรึกษาทาง ธุรกิจ McKinsey โดยที่ Ohmae ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management Guru) คนเดียวของ เอเซีย นอกจากนี้เขายังได้รับการกล่าวถึงจาก บุคคลทั่วไปว่าเป็น "นายกลยุทธ์ (Mr. Strategy)" จากงานเขียนชื่อ "The Mind of the Strategist (1982)" กล่าวว่า "กลยุทธ์ คือ การหาแนวทางให้องค์การสามารถ เอาชนะคู่แข่งขัน อย่างมี ประสิทธิภาพ ภาย ใต้เงื่อนไข ของ ทรัพยากรที่มีอยู่" เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน การจำแนก กลยุทธ์ตาม ระดับและขอบเขต การดำเนิน งานขององค์การออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้

1. กลยุทธ์ระดับบริษัทหรือองค์การ (Corporate Strategy) จะถูกกำหนดให้ผู้บริหารระดับสูงขององค์การ ปกติกลยุทธ์ในระดับ องค์การ จะมีขอบเขตครอบคลุมระยะเวลายาวและทั่วทั้งองค์การ โดยที่กลยุทธ์ระดับองค์การจะเป็นเครื่องกำหนดว่า องค์การสมควรจะ ดำเนิน ธุรกิจ อะไร และ จัดสรร ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อการดำเนินงานและการดำรงอยู่ในอนาคต

2. กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy) จะมีขอบเขตที่จำกัดว่ากลยุทธ์ระดับองค์การ โดยกลยุทธ์ระดับธุรกิจจะให้ความ สำคัญ กับการ แข่งขันของธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรมกลยุทธ์ระดับนี้มัก ถูกกำหนด โดย "ผู้บริหารหน่วยธุรกิจ (Business Unit Head , BU Head)" เพื่อให้หน่วยธุรกิจ (Business Unit , BU) ของตนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้อง และเป็นไปในทิศทาง เดียวกับ ภารกิจ (Mission) และวัตถุประสงค์ (Objective) ขององค์การ

3. กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategy) จะถูกกำหนดโดยหัวหน้าหน่วยงานตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การเงิน การตลาด การ ดำเนิน การ และทรัพยากรบุคคล เพื่อสนับสนุนและสอดคล้อง กับกลยุทธ์ระดับที่สูงกว่า โดยที่กลยุทธ์ระดับนี้จะมีลักษณะที่เฉพาะ เจาะจง ตาม หน้า ที่ ทาง ธุรกิจ โดยรวบรวมข้อมูลจากภายในหน่วยงานและจากสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การดำเนินงานเฉพาะ หน้าที่ประสบ ความสำเร็จภายใต้ ช่วงระยะ เวลาที่แน่นอน
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แนวคิดเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์มาตรฐานสำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม

Professor Richard Ainsworth จาก Boston University (อ้างถึงใน กรมสรรพากร, 2550ค) ได้เสนอแนวความคิดว่า เนื่องจากโลกปัจจุบันเทคโนโลยีสมัยใหม่มีความก้าวหน้ามาก บริษัทขนาดใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้วมีการปรับรูปแบบการดำเนินการ แต่ก็ยังพบว่า มีปัญหาการทุจริตเกิดขึ้น เช่น กรณีบริษัท Enron บริษัท Parmalot และบริษัท Onetel เป็นต้น ซึ่งกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีปัญหาระบบการควบคุมและการหมุนเวียนของเงินสด จึงได้มีการนำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือการแก้ปัญหา โดยการสร้างระบบควบคุมด้วยเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร และ CEO/CFO ของบริษัทต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขข้อบังคับ
สำหรับระบบภาษีมูลค่าเพิ่มก็เช่นกันมีปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลตัวเลข และยอดรายรับที่แสดง ในประเทศที่กำลังพัฒนา ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ประมาณ 50% มาจากธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งมีจำนวนรายไม่เกิน 1% ของรายทั้งหมด ในขณะเดียวกันประเทศที่พัฒนาแล้วก็ปรับเปลี่ยนจากการทำธุรกิจพื้นฐานไปสู่ธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูง ดังนั้น จึงมีแนวคิดว่า ควรมีการนำซอฟต์แวร์ที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานของรัฐมาใช้ในธุรกิจ เพื่อมาช่วยดำเนินการตั้งแต่การออกใบกำกับภาษี การคำนวณภาษี การจัดทำงบการเงิน รายงานต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดเตรียมแบบแสดงรายการ และการจ่ายเงิน การนำซอฟต์แวร์ดังกล่าวมาใช้จะช่วยให้สามารถควบคุมและตรวจสอบความถูกต้องเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและรายได้เพื่อเสียภาษีได้ทุกขั้นตอน
ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการพัฒนาให้ธุรกิจใช้ซอฟต์แวร์มาตรฐาน ซึ่งมีการใช้ใน 19 รัฐ โดยธุรกิจสามารถนำไปใช้ได้ฟรี และจะไม่ถูกตรวจสอบ ยกเว้นกรณีพบว่า มีการทุจริต ซอฟต์แวร์ดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานที่ OECD กำหนด ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ผู้เสียภาษีไม่มีภาระด้านต้นทุนและเป็นการช่วยลดเรื่องการทุจริตและความผิดพลาดจากการคำนวณได้

การบริหารการจัดเก็บภาษีอากรในระดับท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา

กรมภาษีอากรและการเงิน (Department of Taxation and Finance) ของรัฐนิวยอร์คได้จัดทำรายงานประจำปี ค.ศ. 2004-2005 (New York State Department of Taxation and Finance, 2005) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ พันธกิจ แผนกลยุทธ์โครงสร้างของงานและสถิติการจัดเก็บภาษี โดยข้าราชการในกรมนี้ได้กำหนดเป้าหมายว่า จะเป็นหน่วยงานที่จัดเก็บรายได้ในระดับต้น ๆ ของชาติ ทั้งนี้ ไม่ได้วัดจากจำนวนภาษีที่จัดเก็บได้เพียงอย่างเดียวแต่ดูที่ระดับของการให้บริการผู้เสียภาษี โดยเน้นที่แบบฟอร์มที่ง่าย การลดกฎระเบียบ การจัดตั้ง state-of-the-art call centers เพื่อมุ่งเน้นความต้องการของผู้เสียภาษีและที่สำคัญที่สุด คือ ยอมรับฟังสิ่งที่ผู้เสียภาษีต้องการเสนอ และนำข้อเสนอแนะเหล่านั้นมาบูรณาการเพื่อนำไปปฏิบัติ

วิสัยทัศน์ คือ หน่วยงานของเราต้องนำระบบการบริหารการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรม ตอบสนองต่อผู้เสียภาษีและช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจ
พันธกิจ คือ จัดเก็บภาษีรายได้และจัดสรรบริการต่าง ๆ ในรัฐนิวยอร์ก

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ คือ ผู้เสียภาษียินยอมชำระภาษีโดยสมัครใจ ถูกต้อง และภายในกำหนดกำหนด กลยุทธ์หนึ่งที่นำใช้ คือ ค้นหาวิธีที่จะขยายและเพิ่มบริการให้ผู้เสียภาษี ในอันที่จะส่งเสริมความสมัครใจในการเสียภาษี โดยมุ่งเน้นการเสียภาษีภายในกำหนดเวลา ชำระภาษีตามจำนวนที่ถูกต้องและเข้าใจเกี่ยวกับการออกหมายเรียก การให้คำแนะนำ รวมทั้งการใช้กลยุทธ์ในการปรับปรุงการบริการตนเอง และการให้บริการผ่านเครือข่าย
กรมภาษีอากรและการเงิน รับผิดชอบในการบริหารจัดเก็บภาษีอากรประมาณ 40 ชนิด มีการจัดโครงสร้างที่เน้นเรื่องการให้บริการผู้เสียภาษี เพราะเป็นการตอบสนองต่อเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ คือ มีการจัดตั้งแผนกให้บริการผู้เสียภาษี (Taxpayer Service and Revenue Division--TSRD) มีหน้าที่ในการจัดหาบริการและสนับสนุนผู้เสียภาษีให้ปฏิบัติตามกฎหมาย จัดหาข่าวสารและช่วยผู้เสียภาษีในการยื่นแบบที่ถูกต้องและเรียกเก็บหนี้ภาษีอากร รวมทั้งการเก็บรักษาข้อมูลผู้เสียภาษี ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการยื่นแบบ การขอคืนในกระบวนการต่าง ๆ และจัดให้มีการวางแผน การวิจัย การประเมินผล และการอบรมเกี่ยวกับการบริการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงาน
นับแต่ปี ค.ศ. 2002 รัฐนิวยอร์กได้จัดให้มี โครงการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยผ่านทางอิเลกโทรนิกส์ ซึ่งมีประโยชน์หลายด้าน เช่น ลดความผิดพลาดในการยื่นแบบ ยืนยันการยื่นแบบ ใช้เวลาน้อย และสะดวก โดยปี ค.ศ. 2002 มีผู้ยื่นแบบ e-file จำนวน 1.8 ล้านคน ปี ค.ศ. 2003 จำนวน 2.2 ล้านคน และปี ค.ศ. 2004 จำนวน 2.5 ล้านคน
ต่อมาในปี ค.ศ. 2003 เดือนมกราคม ได้มีการใช้ระบบ 2-D bar coding technology ในการยื่นแบบแสดงระบบภาษีเงินได้
สำหรับรายงานประจำปี ค.ศ. 2005-2006 (Annual Report 2005-2006) กรมภาษีอากรและการเงิน ได้กำหนดเป้าหมายในการบริหารการจัดเก็บภาษีของรัฐอย่างมีประสิทธิผลและมีความก้าวหน้า โดยต้องทำงานอย่างเต็มความสามารถและมีความมุ่งมั่น กรมภาษีอากรและการเงินของรัฐนิวยอร์ค ได้รับรางวัล 2005-2006 Best Practices Award in Management (New York State Department of Taxation and Finance, 2006)
Plumley (2002) ได้ศึกษาวิจัย ให้กับหน่วยงานภาษีของสหรัฐอเมริกา IRS เกี่ยวกับผลกระทบจากการยินยอมเสียภาษี พบว่า เมื่อผู้เสียภาษีมีรายได้เพิ่มขึ้น อัตราการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ เพิ่มขึ้น จะทำให้มีการแจ้งรายได้เพิ่มขึ้นด้วยซึ่งผลการศึกษานี้มีประโยชน์อย่างมาก ในการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ และมีประโยชน์ต่อการจัดเก็บรายได้ด้วย คือ จะนำมาพิจารณาเพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรวมทั้ง ขยายกิจกรรมของหน่วยงาน เพิ่มขึ้นเพื่อประสิทธิภาพ ในการจัดเก็บ ในเรื่องนโยบายภาษีอากร การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างความสมัครใจยินยอมในการเสียภาษี
Bloomquist (2003) ได้ศึกษาวิจัยแนวโน้มของการยินยอมเสียภาษีกรณีศึกษา IRS และนำเสนอในที่ประชุม IRS Research พบว่า ผู้เสียภาษีจะยินยอมเสียภาษีขึ้นอยู่กับอัตราภาษี ความซับซ้อนของกฎหมายภาษีอากร การวางแผนการจัดเก็บภาษีอากร ความซับซ้อนในการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสียภาษีอากร การมีหลักฐานที่แน่ชัดของรายได้ (visibility income)
Plumley (1996) ได้ศึกษาวิจัยลักษณะของการยินยอมเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบว่า จากการวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐมิติ ใช้ข้อมูล IRS จ ากปี ค.ศ. 1982-1991 รวมทั้ง ข้อมูลต่าง ๆ จาก IRS พบว่า ปัจจัยในการยินยอมเสียภาษีของบุคคลธรรมดา คือ ลักษณะของนโยบายภาษี การบริหารจัดเก็บภาษีอากร การตรวจสอบ การสอบยันข้อมูลจากบุคคลภายนอก การลงโทษทางอาญา อัตราภาษี ความยุ่งยากในการกรอกแบบแสดงรายการภาษี และการจัดเตรียมเกี่ยวกับการยื่นแบบแสดงรายการของหน่วยงาน IRS โดยผลจากการวิจัยนี้ IRS จะนำไปใช้ในการจัดสรรทรัพยากร และจะนำไปสู่การประเมินประสิทธิผลของหน่วยงานได้
Internal Revenue Service (IRS) (2005) มีการศึกษากลยุทธ์ในการเพิ่มความยินยอมในการเสียภาษี และลดการหลบหนีภาษีของหน่วยงานจัดเก็บภาษี คือ การเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายภาษี ต้องทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจของผู้เสียภาษีง่ายต่อการบริหารและใช้บังคับของหน่วยจัดเก็บและให้ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเรื่องภาษีต่อประชาชน (tax education) การปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้เสียภาษีที่มีต่อรัฐบาล สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยจัดเก็บและผู้เสียภาษี การทำให้ผู้เสียภาษีเชื่อว่า ผู้อื่นเสียภาษีถูกต้องครบถ้วนเช่นเดียวกับตน การลดต้นทุนของผู้เสียภาษีในการยื่นชำระต้องให้บริการที่ดีและอำนวยความสะดวก การจับกุม การปราบปราม และตรวจสอบผู้หลบหนีภาษี
การบริหารการจัดเก็บภาษีในประเทศสหรัฐอเมริกา

หน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีสำหรับรัฐบาลกลาง คือ Internal Revenue Service (IRS) เพื่อที่จะให้ประชาชนยินยอม สมัครใจในการเสียภาษี เพื่อให้หน่วยจัดเก็บสามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย การบริหารจัดการต้องมีประสิทธิภาพ (Brown & Mazur, 2003) หน่วยงานวิจัยแห่งชาติ (The National Research Program--NRP) ได้ทำการศึกษา โดยให้มีการวัดในเชิงกลยุทธ์ที่เกี่ยวกับความสมัครใจในการยื่นแบบเสียภาษี การเสียภาษีเงินได้ ความสมัครใจในการชำระภาษีของผู้เสียภาษีในสหรัฐอเมริกาและมีการวัดในระดับปฏิบัติ (bottom-line measures) โดยวัดประสิทธิผลของหน่วยงานนอกจากนี้มีการจัดตั้งโครงการวัดความสมัครใจของผู้เสียภาษี (Taxpayer Compliance Measures Program--TCMP) โดย IRS เมื่อปี ค.ศ. 1980 โดยความสมัครใจในการแจ้งจำนวนเงินได้ วัดจากร้อยละของภาษีที่คำนวณได้จริงจากหลักฐานที่สอบยัน และความสมัครใจในการชำระภาษีวัดจากร้อยละของการยื่นแบบภายในเวลาซึ่งอาจสรุปได้ว่า การวัดความสมัครใจในการเสียภาษีจะดูว่า ผู้เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการภายในกำหนดเวลา ถูกต้อง และชำระภาษีครบถ้วนหรือไม่ โครงการ TCMP มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะส่งเสริมการยื่นแบบแสดงรายการภาษี ปรับปรุง ประสิทธิภาพในกระบวนการบริหารจัดการภาษีอากร โดยจะนำไปใช้ในการจัดสรรอัตรากำลัง การวางแผนทรัพยากรต่าง ๆ และการติดต่อกับผู้เสียภาษี
ในปี ค.ศ. 2000 การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีวิวัฒนาการเร็วมาก ซึ่งทำให้มีผลทั้งทางบวกและทางลบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการบริหารจัดเก็บภาษี เทคโนโลยี ข่าวสารข้อมูลรวมทั้งการสื่อสารโทรคมนาคม และระบบคอมพิวเตอร์มีผลมากในการเพิ่มผลผลิต ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยให้การบริการดีขึ้น หากพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของมนุษย์แล้วการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญในการทำให้การทำงานของมนุษย์ดีขึ้น (CIAT, 2000)ในระบบข้อมูลภาษีอากร จึงต้องมีการบูรณาการ ใช้เครื่องมือเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการ รวมทั้งต้องมีการจัดการอย่างมีประสิทธิผล จึงเป็นความท้าทายที่จะแก้ปัญหา โดยการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ในการยื่นแบบแทน แต่ก็มีความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น
ในปี ค.ศ. 2003 ระบบภาษีอากรของสหรัฐอเมริกาเก่ามาก ซึ่งในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา ได้มีการอภิปรายถึงเหตุผลและวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษี เนื่องจากกฎหมายบางฉบับซับซ้อนมากและไม่มีประสิทธิภาพ จากการสนทนาพบว่า ระบบภาษีอากรจะต้องมีลักษณะที่พึงปรารถนา ต้องมีต้นทุนในการบริหารจัดเก็บที่ต่ำ มีความเป็นธรรม และปัจเจกบุคคลจะไม่สามารถแจ้งจำนวนเงินได้ต่ำกว่าความเป็นจริง ในการศึกษาวิจัย Sanghi (2003) ได้เสนอ ทางเลือกของระบบภาษีอากร คือ ต้องทำให้การจัดเก็บภาษีง่ายและมีประสิทธิผล ณ จุด ๆ เดียว และระบบต้องง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้ โดยระบบตำราต้องง่าย มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ไม่มีสิ่งจูงใจให้หนีภาษีอากร (evade) หรือหลีกเลี่ยง (avoid) ดังนั้น การจ่ายชำระภาษีจะต้องเป็นแบบอัตโนมัติ (automatic) ในระบบภาษีอากรแบบเก่าจะมีภาษีหลายชนิด และมีหลายระดับ (ส่วนกลาง รัฐ และท้องถิ่น) กฎหมาย และระเบียบปฏิบัติมีความซับซ้อน ข้อยกเว้นเข้าใจยาก ต้นทุนการจัดเก็บของ รัฐบาลสูง จึงมีข้อเสนอสำหรับเป็นทางเลือกในการจัดเก็บภาษีที่จะขจัดภาษีที่หลากหลาย ง่าย และมีประสิทธิผล การจัดเก็บอยู่ในขั้นตอนเดียว (single stage of transaction) โดยนำเสนอวิธีจัดเก็บโดย จัดเก็บร้อยละ 1 ของการถอนเงินจากธนาคารในอัตราเดียว และนำภาษีร้อยละ 1 ที่จัดเก็บมาแบ่งให้กับส่วนกลาง รัฐ และท้องถิ่น และให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ ในการนำเสนอนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความง่าย ความมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม
แนวคิดที่ Sanghi (2003) นำเสนอมาจากลักษณะของระบบภาษีที่ใช้ขณะนั้น 3 ลักษณะ คือ ความจำเป็นในการจัดเก็บภาษี การจ่ายชำระภาษีอากร และกระบวนการทางภาษีอากร ในด้านการจัดเก็บภาษี ผู้ศึกษาได้เก็บสถิติข้อมูลประกอบว่า ภาษีส่วนใหญ่ เก็บจากใคร จำนวนเท่าใด อัตราใด ช่วงเวลาไหน และในการจ่ายชำระภาษีอากร ผู้เสียภาษีจะจ่ายโดยเงินสด เช็ค และจ่ายผ่านธนาคาร ซึ่งการจ่ายมีจำนวนเงินมาก สำหรับกระบวนการในการชำระภาษี ทุกรายการจะเริ่มจากธนาคาร ซึ่งบางครั้งอาจจะซับซ้อนแตกต่างจากการซื้อขายสินค้าทั่วไป และหากจะคุ้มครองโครงสร้างของตลาดการเงิน อัตราภาษีสำหรับธุรกรรมต้องต่ำกว่าอัตราภาษีทั่วไป (1%) อัตราโครงสร้างของตลาดการเงิน อาจจะ 0.2%-0.5% ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ วิธีการ ซึ่งอาจจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ ให้มีเงินออมเพิ่มขึ้น ในการเลือกระบบภาษีนี้ไม่ต้องมีรายละเอียดเลขประจำตัว ไม่ต้องมีแบบแสดงรายการ ประหยัด สามารถเพิ่มเงินออมได้ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ
Malcolm (2005) ได้เสนอแนวคิดในการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบภาษีแบบบูรณาการ (Integrated Tax Systems) ซึ่งเป็นระบบภาษีที่ช่วยสนับสนุนระบบต่าง ๆ ทุกระบบสนับสนุนระบบภาษีทั้งหมด เช่น การจัดเก็บภาษี การตรวจสอบภาษี การบริหารจัดการและระบบการทำงาน รวมถึงการช่วยในการยื่นแบบแสดงรายการ การชำระภาษี สามารถบริหารการจัดเก็บด้วย เว็ปไซด์ (web-enabled) และที่สำคัญ ข้าราชการระดับสูงและผู้บริหารด้านการจัดเก็บภาษีต้องสนับสนุน
ในขั้นตอนการใช้ระบบภาษีแบบบูรณาการ ต้องรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้น สำรวจเครือข่ายที่จะนำมาใช้ และค้นหารูปแบบที่เหมาะสม จากนั้นจึงทำการพัฒนาหรือประยุกต์โดยการเลียนแบบจากรูปแบบที่ดี โดยอาจเริ่มจากระบบที่ง่าย และหากจะประสบความสำเร็จจึงให้มีการขยายผลต่อไป
การบริหารการจัดเก็บภาษีอากรโดยใช้ระบบเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล (IT) จะเริ่มด้วยการประเมินสภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยทบทวนกฎหมาย กระบวนการ วิธีปฏิบัติ พิจารณาตัวแบบภาษีอากร พิจารณาในเรื่องเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ขั้นต่อมาจึงพิจารณาสิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง แล้วออกกฎหมายให้สอดคล้อง พัฒนากระบวนการหรือวิธีปฏิบัติ กำหนดรูปแบบ กำหนดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ต้องการจะใช้เมื่อกำหนดได้แล้วจะถึงขั้นที่จะนำไปปฏิบัติซึ่งใช้เวลานาน
ในขั้นการนำไปปฏิบัติ จะเริ่มจากการออกแบบ การพัฒนา การจัดหาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ให้เหมาะสมกับสิ่งที่วางแผนไว้ จากนั้นให้การอบรมฝ่ายเทคนิค ฝ่ายสนับสนุน ผู้ใช้ระบบ ให้มีการทดสอบเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น ๆ แล้วจึงนำมาปฏิบัติ
แนวคิดระบบภาษีแบบบูรณาการ ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากและต้องมีพอเพียงสำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาว เพราะหากเกิดปัญหาต้องแก้ปัญหาให้ทันเวลา ขั้นตอน และวิธีปฏิบัติในระยะแรกนั้น ผู้ปฏิบัติงานด้านเทคนิคต้องอยู่ในหน่วยงาน งานด้านเทคโนโลยีต้องโอนให้เป็นงานประจำ ต้องมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วอาจใช้การประยุกต์หรือลอกเลียนแบบจากต้นแบบที่ดี และเตรียมที่จะนำไปปฏิบัติได้ทันที เมื่อถึงคราวที่จะประกาศใช้โครงการระบบภาษีแบบบูรณาการเป็นโครงการที่ใหญ่มีผลบังคับทุกพื้นที่ (big bang project) เป็นโครงการด้านเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร IT ที่มีความซับซ้อน จึงต้องการผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานทั้งในและนอกประเทศในระยะเริ่มแรกและนำไปปฏิบัติให้เกิดความเคยชิน มีการจัดทำตารางกิจกรรมในระยะยาว ใช้ต้นทุนสูงมีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โครงล้มเหลว ดังนั้น ภาระเริ่มโครงการเช่นนี้จึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ การปฏิรูประบบภาษีจึงมักเริ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ในด้านนโยบาย การออกกฎหมาย การกำหนดเลขประจำตัวภาษี วิธีปฏิบัติและรูปแบบต่าง ๆ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ต้องจัดหามาใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการ มิฉะนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ
สิ่งที่ต้องคำนึงในการใช้ระบบภาษีแบบบูรณาการ คือ ระบบต้องง่ายต่อการปฏิบัติ เครื่องมือเครื่องใช้สามารถเรียนรู้ได้ง่าย การฝึกอบรมทีมงานในหน่วยงาน การสนับสนุนด้านอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ การสนับสนุนในระยะยาว สิ่งอำนวยความสะดวกด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านพลังงาน โทรศัพท์ เครือข่ายต่าง ๆ รวมทั้งฐานข้อมูลสำหรับการใช้ในอนาคตต้องมีการวางแผนในการพัฒนา มีผลใช้บังคับและมีการตรวจสอบ มีการอบรมผู้ใช้ระบบและต้องเหมาะสมกับท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น การใช้ภาษีที่เหมาะสม
สำหรับประเด็นที่เป็นข้อจำกัดในการออกแบบและการใช้ระบบภาษีแบบบูรณาการนั้น ในขั้นแรกต้องคำนึงถึงบริบท การใช้ต้องเริ่มจากประเภทภาษีที่ไม่ซับซ้อน และต้องพิจาณาสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เพราะจะสามารถแสดงให้เห็นถึงรูปแบบและการใช้ระบบภาษีแบบบูรณาการ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุน การใช้เงินจำนวนมาก ใช้เวลานาน จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในทุกขั้นตอน และที่สำคัญกว่านั้น คือ ความปลอดภัยของข้อมูล
สิ่งท้าทายในการแก้ไขที่ต้องเตรียม คือ โครงการส่วนใหญ่จะเริ่มจากประเภทภาษีที่ไม่ซับซ้อนโดยการเริ่มใช้กับลูกค้าที่กำหนดไว้ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การออกแบบระบบในภาพรวมทั้งหมดต้องใช้เวลา ใช้เงินในการที่จะใช้กับประเภทภาษีที่หลากหลาย การพิจารณาต่าง ๆ จะแตกต่างกัน นอกจากนี้การออกแบบและแก้ปัญหาต่าง ๆ จะใช้เงินมากขึ้น ใช้เวลามากขึ้น เพราะการแก้ปัญหาด้าน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย จึงเกิดรูปแบบการแก้ปัญหาแบบ Commercial-Off-The-Shelf (COTS) เป็นการแก้ปัญหาที่นำมาจากรูปแบบที่ดี มีลักษณะที่จริงจังเป็นทางการ เป็นการมองปัญหาแบบข้ามหน่วยงานหรือต่างประเภทภาษีกัน วิธีการแก้ปัญหาง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ มีฐานข้อมูลสนับสนุนจากหลายแหล่ง เหมาะสำหรับใช้ในท้องถิ่นนั้น ๆ ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ขณะนั้น ความพอเพียงของเครือข่าย รับข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น Internet การบันทึกข้อมูลการใช้เครื่องช่วยบันทึก การบำรุงรักษาต่าง ๆ
ลักษณะการทำงานของ COTS คือ ขั้นตอนการลงทะเบียนโดยกรอกประวัติ ข้อมูลส่วนตัว กรอกเลขรหัสจำนวนตามที่กำหนดให้และมีการกำหนดตัวควบคุม การทำรายการโดยใช้แบบฟอร์ม รูปแบบที่กำหนด ลักษณะของแบบฟอร์มอาจกำหนดในรูปแบบบันทึก เช่น เป็นชำระเพิ่มเติม หรือชำระเกิน การบันทึกข้อมูลจะนำไประบบทางการบัญชี ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลจากการแสดงรายการเพื่อการวิเคราะห์และตรวจสอบ
ลักษณะการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษี ระบบจะคำนวณภาษี เบี้ยปรับและดอกเบี้ย โดยเป็นไปตามกฎข้อบังคับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และจะกำหนดวีการชำระเงิน ขั้นตอนการปฏิบัติจะง่ายเหมือนกับระบบการซื้อขาย ในการใช้รหัสเพื่อทำรายการชำระเพิ่มเติมหรือชำระเกินจะเป็นสิทธิของหน่วยงานแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นจะเป็นการแยกว่าจะออกหมายเรียกหรือประเมินภาษีแบบใด
อย่างไรก็ตาม COTS ก็ยังคงมีประโยชน์ในภาพรวม คือ ลดต้นทุน ลดความเสี่ยง มีกำหนดเวลาที่น้อยกว่า เป็นการบูรณาการอย่างแท้จริง มีพื้นฐานจากรูปแบบที่เหมาะสม หลังจากการนำระบบภาษีแบบบูรณาการไปใช้และประสบผลสำเร็จ จะมีการพัฒนาและนำไปใช้ให้กว้างขวางขึ้นโดย อาจใช้ในหลายหน่วยงาน ในประเภทภาษีที่แตกต่างกัน แต่การนำไปปฏิบัติจะต้องกำหนดกรอบให้ชัดเจน
ประเด็นหลักในการใช้ระบบเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร คือ ความไม่พอเพียงของทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ขึ้นอยู่กับเครื่องมือใช้ การแปลงข้อมูล ความปลอดภัยของข้อมูล การสำรองข้อมูล การเข้าถึงข้อมูล ความถูกต้องของข้อมูล ระยะเวลาที่จะใช้ การฝึกอบรม โครงสร้างเครือข่ายพื้นฐาน ความพอเพียงของอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ในทุกหน่วยงานและบทบาทของ Internet
ปัจจัยสำคัญที่จะให้ระบบภาษีแบบบูรณาการ ประสบความสำเร็จ คือ บุคลากร เริ่มตั้งแต่ ผู้จัดการโครงการ สมาชิกโครงการ การสนับสนุนจากผู้บริหาร การมีส่วนร่วมของพนักงาน การติดต่อสื่อสาร รวมทั้งต้องมีการทดสอบ การนำไปปฏิบัติ (เริ่มจากภาษีที่ไม่ซับซ้อน) การบริหารการเปลี่ยนแปลง และสุดท้าย คือ ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆ โดยให้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดและเลือกวิธีที่ดีที่สุด


บรรณานุกรม

อรอนงค์ ประสังสิต(2550). การบริหารการจัดเก็บภาษีอากร: ศึกษากรณีกลุ่มภารกิจด้านรายได้ กระทรวงการคลัง. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (รัฐประศาสนศาสตร์), มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

Brown, E. R., & Mazur, M. J. (2003, June). IRS’s comprehensive approach to compliance measurement. Retrieved October 20, 2006, from http://www .irs.gov/pub/irs-soi/mazur.pdf

CIAT. (2000). Handbook for tax administration-july 2000. Retrieved August 22, 2003, from http://www.nta.go.jp/foreign_language/report2003/ contents.htm

Malcolm, G. L. (2005). Improving the approach to implementing integrated tax systems. Retrieved June 2, 2007, from http://www1.worldbank.org/ publicsector/pe/bbagsdetails.cfm
เจริญ ธฤติมานนท์ (2534, หน้า 56) กล่าวว่า ความยินยอมในการเสียภาษีอากรของผู้เสียภาษีอากร คือ การที่ผู้เสียภาษีอากรมีความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องเสียภาษีอากรที่ตนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐบาลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยภายในระยะเวลาที่กฎหมายภาษีอากรกำหนดไว้และผู้เสียภาษีอากรได้ปฏิบัติการเสียภาษีอากรให้ครบถ้วนในระยะเวลาที่กำหนดนั้นด้วยรวมทั้งการที่ผู้เสียภาษีอากรจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรด้วยความเต็มใจ
การที่จะสร้างความยินยอมในการเสียภาษีนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ในระยะเวลาอันสั้น จะต้องใช้เวลายาวนาน โดยต้องสร้างให้เกิดขึ้น และสะสมติดต่อกันมาจนฝังในจิตใจ ไม่สามารถสร้างขึ้นมาโดยผู้หนึ่งผู้ใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด แต่จำต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างขึ้นโดยทุกฝ่ายทั้งฝ่ายจัดเก็บภาษีและฝ่ายประชาชนผู้เสียภาษีอากรด้วย
สำหรับด้านฝ่ายจัดเก็บภาษีอากรซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติโดยตรงจะต้องพยายามสร้างความสมัครใจในการเสียภาษีอากรของผู้เสียภาษีอากรโดยจัดองค์การและการบริหารภาษีอากรให้เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันความตื่นตัวของประชาชนและสิทธิมนุษยชนทำให้ประชาชนมีความต้องการเข้ามามีส่วนร่วมและรับรู้ในการใช้ดุลยพินิจในการดำเนินการต่าง ๆ ของทางราชการประกอบกับระบบสื่อสารข้อมูลเสรีได้เปิดโอกาสในสื่อมวลชนสามารถสะท้อนการทำงานของข้าราชการได้มากขึ้น ดังนั้น ระบบราชการจึงต้องปรับเปลี่ยนให้มีความโปร่งใส และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน (บุญรอด โบว์เสรีวงศ์, 2540, หน้า 96) ด้วยมาตรการในการส่งเสริมการเสียภาษีอากร คือ ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน โดยปรับเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่ให้เป็นผู้มีจิตสำนึกในการให้บริการที่ดีแก่ผู้เสียภาษีอากร เปลี่ยนความคิดจาก “ผู้รับ” มาเป็น “ผู้ให้” เพื่อให้ผู้เสียภาษีเกิดความรู้สึกที่ดี และพึงพอใจว่า การเสียภาษีแต่ละครั้งได้รับความสะดวกความเป็นธรรมและเกิดทัศนคติที่แก่ผู้เสียภาษี เปลี่ยนกระบวนการทำงานใหม่ เพื่อให้มีขั้นตอนการทำงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น ตัดทอนขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน มีการกำหนดระยะเวลาการทำงานในแต่ละขั้นตอนที่ชัดเจน มีการนำระบบการจัดการคุณภาพโดยรวม มาใช้ในกระบวนการทำงาน มีการทำงานเป็นทีม โดยเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับมีส่วนร่วม และแสดงความเห็นในการทำงานมากขึ้น สร้างบริการใหม่ ๆ เพื่อความพอใจของผู้เสียภาษี จัดให้มีบริการขั้น พื้นฐานตั้งแต่สถานที่จอดรถ ที่พักเพื่อนั่งคอย น้ำดื่ม ตลอดจนปรับปรุงสถานที่ เพื่อ ให้ง่ายต่อการติดต่อและความสะดวกรวดเร็ว พัฒนาอุปกรณ์ตลอดจนระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยเสริมให้งานบริการต่าง ๆ มีความถูกต้อง สะดวก และรวดเร็ว สำรวจ และติดตามความต้องการ และพึงพอใจของผู้เสียภาษีตลอดเวลาหา Feedback ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการเสียภาษี ยกย่องผู้ให้ความร่วมมือ ตอบข้อหารือเกี่ยวกับปัญหาให้รวดเร็ว ถูกต้อง พิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นธรรมและรวดเร็ว และมีมาตรการป้องกัน และปราบปรามการหลบหนีภาษีอากร ในการสร้างความยินยอมในการเสียภาษี ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน หรือสถาบันอื่น ๆ ของชาติ หน่วยจัดเก็บต้องปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารงานจัดเก็บภาษี ปรับปรุงคุณภาพด้านความรู้ ความสามารถของเจ้าหน้าที่ และต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดสรรทรัพยากรด้านต่าง ๆ
คณะกรรมการ OECD (2001) ได้ศึกษา ลักษณะทัศนคติของผู้เสียภาษี และหน่วยจัดเก็บต่อความยินยอมในการเสียภาษี ดังแสดงในภาพ 7 ในด้านหน่วยจัดเก็บภาษีหากมีระบบภาษีอากรที่ดี มีการบริหารการจัดเก็บที่เป็นธรรม และมีการปกป้องฐานภาษี กลยุทธ์ของหน่วยจัดเก็บมุ่งในการเพิ่มความยินยอมในการเสียภาษี เช่น มีการออกกฎระเบียบ มีการประชาสัมพันธ์ ผู้เสียภาษีจะยินยอมเสียภาษี แต่หากผู้เสียภาษีอยากที่จะปฏิบัติตามกฎระบบภาษีอากร ไม่อยากเสี่ยงต่อการตรวจสอบภาษี ก็จะมีการวางแผนภาษี โดยใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย (avoidance) หากผู้เสียภาษีไม่อยากปฏิบัติตามกฎหมาย และอยากหลีกเลี่ยงทำการหลบหนีภาษี ถือเป็นการเจตนาที่จะหนีภาษี (evasion) (จุฑาทอง จารุมิลินท, 2547)

บรรณานุกรม

อรอนงค์ ประสังสิต(2550). การบริหารการจัดเก็บภาษีอากร: ศึกษากรณีกลุ่มภารกิจด้านรายได้ กระทรวงการคลัง. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (รัฐประศาสนศาสตร์), มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

จุฑาทอง จารุมิลินท. (2547). เข้าใจนโยบายภาษี. สรรพากรสาส์น, 51(1), 83-90.

เจริญ ธฤติมานนท์. (2534, กันยายน). ความสมัครใจในการเสียภาษีอากร. สรรพากรสาส์น, 2(3), 52-59.

บุญรอด โบว์เสรีวงศ์. (กันยายน 2540). การปรับปรุงเพื่อความเป็นผู้นำในด้านบริการที่ดี. สรรพากรสาส์น, 96-99.
การส่งเสริมให้การบริหารการจัดเก็บภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลนั้น ในทางทฤษฎีงบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่ในทางปฏิบัติแล้วยังไม่มีข้อสรุป เพราะนอกจากงบประมาณแล้วแล้วยังมีปัจจัยอื่นอีก เช่น กฎระเบียบและข้อบังคับ แนวปฏิบัติ ลักษณะและปริมาณของโครงสร้างทางกายภาพ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ การใช้บุคคลภายนอก การบริหารทรัพยากรบุคคล (การบริหารทรัพยากรมนุษย์) ซึ่งเริ่มจากวิธีการสรรหา การกำหนดหน้าที่ การกำหนดลักษณะงาน การประเมินผลการปฏิบัติงาน และการส่งเสริมการบริหารจัดเก็บภาษีต้องระบุไว้ชัดเจน นอกเหนือจากกฎระเบียบข้อราชการพลเรือน การฝึกอบรมต้องมีการกำหนดรูปแบบสำหรับข้าราชการกรมสรรพากร กรมศุลกากร หรือกรมสรรพสามิต ซึ่งแตกต่างกันหรือรวมถึงการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมพิเศษสำหรับแต่ละหน่วยงาน หรืออาจจะใช้สถาบันฝึกอบรมภาครัฐ หรือเอกชน และให้มีการฝึกอบรมระหว่างปฏิบัติงาน การกำหนดเงินเดือน ค่าจ้างหรือสิ่งจูงใจ โดยใช้ค่าตอบแทน สิ่งจูงใจอื่นในการกระตุ้นผู้จัดเก็บภาษีอากรให้ปฏิบัติงานเพื่อผลประโยชน์ของรัฐ เทคโนโลยี ข่าวสารข้อมูล (IT) ต้องเชื่อมโยง และนำมาใช้กับลักษณะการบริหารจัดการของหน่วยงานภาษี
ในปัจจุบัน การบริหารเปลี่ยนแปลงในมิติพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในผู้ประกอบการภาคเอกชน ในบางประเทศที่พัฒนาแล้วและในประเทศกำลังพัฒนาหน่วยงานภาครัฐเริ่มหันมาสู่ประสบการณ์ภาคเอกชน และวิธีบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวาง การบริหารการเปลี่ยนแปลงในภาครัฐนั้นการพัฒนาบุคลากรมีบทบาทร่วมกับการบริหารในการออกแบบ กำหนดรูปแบบการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนารวมกิจการปรับเปลี่ยนองค์การที่เปลี่ยนแปลงแบบรวดเร็ว และแพร่กระจายกว้างขวาง
การปฏิรูปด้านภาษีอากรมักเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (transactional changes) มีส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ใช้เวลาแบบเป็นขั้น ๆ อย่างช้า ๆ โดยมุ่งเป้าหมายไปจุดที่ต้องการเปลี่ยน เช่นด้านเทคนิค หรือด้านการบริหาร แต่หากเป็นภาคเอกชนจะเปลี่ยนแปลงแบบรวดเร็ว (transforming changes) ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ แต่การปฏิรูปด้านภาษีอากรส่วนมากจะใช้มุมมองทั้งสองแบบ คือ ด้านผลลัพธ์จะเป็นแบบปรับเปลี่ยนรวดเร็ว เช่น ภาพรวมขององค์การ หรือการเปลี่ยนวัฒนธรรม การจ้างงาน ระบบการจ่ายค่าตอบแทน ส่วนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นจะเป็นการปรับเปลี่ยนด้านระบบเทคนิคต่าง ๆ หรือการปรับเปลี่ยนหน้าที่ใหม่
การปฏิรูปการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรนั้นจะเน้นใน 4 ลักษณะ คือ ให้เน้นการปฏิรูปการบริหารจัดการด้านรายได้ทั้งในทางทฤษฎี และทางปฏิบัติ ประการที่สอง ปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ต้องปฏิรูปในหลาย ๆ ด้าน (large-scale reforms) เช่น ในด้านผู้ประกอบการ และส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษี ประการที่สาม ข้อจำกัดด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาคณะทำงานที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง และประการสุดท้าย บทบาทของค่าตอบแทน วัฒนธรรมองค์การ และผู้นำในการกำหนดการปฏิรูปภาษีอากร
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF, 1992) ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการปฏิรูปการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรในประเทศกำลังพัฒนา โดยต้องคำนึงถึงโครงสร้างองค์การ และบุคลากร และประสบการณ์ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 กรอบในการพิจารณาการปฏิรูปในภาพรวม คือ การยอมรับนโยบายภาษี ความพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ และการให้บริการ โดยใช้ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงาน ซึ่งการใช้กรอบนี้ จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบัน เช่น วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ ความสามารถในการนำไปปฏิบัติ และตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานที่เหมาะสม ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาเป็นระบบทั้งหน่วยงานภาษีและลูกค้า โดยจะต้องเข้าใจบริบทในการปฏิรูป และความต้องการที่จะปฏิรูป เช่นวัฒนธรรมองค์การแบบเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ เช่น ลักษณะของเจ้าหน้าที่ และความสัมพันธ์กับหน่วยงาน คุณสมบัติ ทักษะ เป้าหมายส่วนตัว แรงจูงใจของผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่สอดคล้องความต้องการ และความคาดหวังของหน่วยงานในเรื่องเกี่ยวกับหน่วยงาน บุคลากร และปัจจัยในการอบรม
ปัจจัยภายนอกหน่วยงานที่จำเป็นในการปฏิรูปการบริหารจัดการ เช่น การจัดเก็บภาษีลดลงอันเนื่องมาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศลดลง ไม่มีการจัดเก็บภาษีบางประเภท วัฒนธรรมของผู้เสียภาษี เช่น ผู้เสียภาษีรายใหญ่หลบเลี่ยงไม่ชำระภาษีมีจำนวนมาก การจัดเก็บรายได้ลดลง และเกิดวิกฤตทางการเงิน หรือเกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงในหน่วยงานหรือทุกส่วน หากเป็นเช่นนี้การบริหารการจัดเก็บภาษีอากรต้องรีบดำเนินการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง หน้าที่หลัก จัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อดำเนินการอย่างรวดเร็ว เช่น จัดตั้งหน่วยเฉพาะพิเศษ และฝึกอบรมเช่นจัดตั้งสำนักผู้ประกอบการรายใหญ่ หรืออาจมีการกำหนดเจ้าหน้าที่ และให้มีโปรแกรมแบบมืออาชีพเพื่อยกระดับการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยี ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ และเครือข่ายการคมนาคม และให้มีการบริหารจัดการ และให้มีผู้นำแบบมีประสิทธิภาพมีการบริหารทรัพยากรบุคคลแบบระยะสั้นแต่บ่อย ๆ และมีการอบรมซ้ำ
การปฏิรูปการบริหารการจัดเก็บภาษีในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ประกอบการ เช่น แรงกดดันทางการเงิน สังคมการเมือง การกระตุ้นให้ปรับเปลี่ยนหน่วยงาน การจ้างงาน การควบรวมหน่วยงาน การจัดตั้งหน่วยงานใหม่ การกระจายการปฏิบัติงาน การพัฒนาซอฟท์แวร์ ฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ การใช้เทคโนโลยีก้าวหน้าเป็นเครื่องมือในการจัดการ และอบรมการให้บริการลูกค้าที่ดีขึ้น การปรับเปลี่ยนระบบเทคโนโลยี และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์การเพื่อที่จะต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง เช่น ว่าจ้างพนักงานใหม่ อบรม และให้แรงจูงใจสำหรับผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น ในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ และการมีส่วนร่วม ต้องใช้กลยุทธ์การพัฒนา และการบริหารแบบสมัยใหม่ สร้างบุคลากรให้มีสมรรถนะ วิสัยทัศน์และภาวะผู้นำต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน
การบริหารการจัดเก็บภาษีด้านการพัฒนาพนักงาน และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มักจะเผชิญกับปัญหาอุปสรรค ในเรื่องการขาดแคลนมืออาชีพในการอบรม (well-trained professionals) งานมีขอบเขตจำกัด และการพัฒนาพนักงานไม่เชื่อมต่อกับวัตถุประสงค์ขององค์การ และมักเป็นงานปกติ ผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่จะทำการอบรมในหน่วยงานภาษีมีค่อนข้างน้อย โอกาสที่จะเป็นมืออาชีพของหัวหน้าหน่วยฝึกอบรมจึงมีจำกัดในประเทศกำลังพัฒนา จะมีการศึกษาแบบต่อเนื่อง และศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยา อุตสาหกรรม รัฐประศาสนศาสตร์ แนวโน้มเกี่ยวกับต่างประเทศ ข้อจำกัดในการใช้บุคลากรก็คือ หน่วยงานมักให้พนักงานเป็นเพียงผู้บันทึกข้อมูล ซึ่งหน่วยงานยังเข้าใจไม่เพียงพอต่อแนวคิดของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดยคิดว่า การจัดการจะมีเพียงการจ้างงาน การโอน การกำหนดค่าจ้าง การฝึกอบรม และการเลื่อนตำแหน่งใหม่ตามเส้นทางอาชีพหรือการกำหนดลักษณะงาน แต่ในยุคปัจจุบันระบบการพัฒนาพนักงานต้องมีหน่วยงานขับเคลื่อนเพื่อให้เป็นมืออาชีพ และเพิ่มทักษะในหน่วยงานระบบการศึกษาต้องเพียงพอในด้านบัญชี การตรวจสอบบัญชี เศรษฐศาสตร์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการจัดเก็บภาษี ซึ่งการอบรมต้องมีการอบรมทั้งก่อน ระหว่างและหลังการปฏิบัติงาน
การบริหารทรัพยากรมนุษย์มีบทบาทมากขึ้นในการบริหารการเปลี่ยนแปลงในการบริหารการจัดเก็บภาษีในเรื่อง การจ่ายค่าตอบแทน การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และภาวะผู้นำ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ภาคเอกชนดำเนินการแล้ว ควรนำมาใช้ประโยชน์ได้บ้างเช่นทุกส่วนในหน่วยงานต้องเข้าใจกระบวนการต่าง ๆ การฝึกอบรมต้องกำหนดเป็นเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในระยะยาวของหน่วยงาน มีการกำหนดวิสัยทัศน์ สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ผลักดันให้มีการกระตุ้นมิติใหม่ ๆ ในหน่วยงาน
การจะเป็นบุคลากรแบบมืออาชีพต้องปรับเปลี่ยนจากการปฏิบัติงานไปสู่กลยุทธ์ จากการทำงานเชิงคุณภาพไปสู่ปริมาณ การกำหนดนโยบายไปเป็นการเข้าไปเป็นหุ้นส่วน ปฏิบัติงานระยะสั้นไปเป็นการปฏิบัติงานแบบระยะยาว การบริหารจัดการเป็นการให้คำปรึกษา การปฏิบัติงานแบบทำตามหน้าที่ไปสู่การปฏิบัติเชิงธุรกิจ การเน้นเฉพาะภายในหน่วยงานเป็นการเน้นภายนอกหน่วยงาน และให้ความสำคัญกับเน้นลูกค้า การปฏิบัติงานที่เป็นการแก้ปัญหา แนวคิดแบบใหม่นี้บุคลากรจะมีหลายบทบาทและมีความรับผิดชอบแบบบูรณาการ
สำหรับด้านเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร นั้น ได้มีการสร้างศูนย์เครือข่ายที่ใช้ในเรื่องของทรัพยากรมนุษย์ เช่นในเรื่องของผลประโยชน์ การสรรหาและการบรรจุ การจัดการผลการปฏิบัติงาน การวางแผนค่าตอบแทน การพัฒนาบุคลากร และการจัดการความรู้ ในเรื่องของการประเมินผลการปฏิบัติงานแบบ On-line การสร้างโปรแกรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง (self-paged learning programs) และการดัชนีของนายจ้าง นอกจากนี้ยังมีการใช้เครือข่าย ยืดหยุ่น ปฏิบัติได้ง่าย และต้นทุนที่ต่ำกว่า ภาวะผู้นำเป็นสิ่งสำคัญในการปฏิรูป ผู้นำต้องตัดสินใจ และพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ ทั้งในด้านการปรับปรุงหน่วยงาน และการพัฒนาการบริหารจัดการด้วย
จากการประชุม The OECD Committee of Fiscal Affairs Forum on Strategic Management (FSM) เมื่อเดือน มิถุนายน 1999 และการประชุม The FSM Steering Group เมื่อเดือนธันวาคม 2000 เพื่อจัดทำเอกสารการประชุม เกี่ยวกับหลักการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรที่ดี (Principles of Good Tax Administration) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาะสมที่แต่ละประเทศควรนำไปปฏิบัติทั้งในระดับประเทศ และระหว่างประเทศ โดยนำเสนอหลักการบริหารการจัดเก็บภาษีที่ดีของหน่วยจัดเก็บภาษีอากร (revenue authorities) 5 ประการ (Organization for Economic Co-operation Development (OECD), 2001) คือ ประการแรก การสร้างความสัมพันธ์กับผู้เสียภาษี ในลักษณะที่กฎหมายภาษีอากร ต้องมีลักษณะที่เป็นธรรม โปร่งใส มีการแจ้งสิทธิหน้าที่ของผู้เสียภาษี การให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และทันเวลา การเข้าถึงบริการข้อมูลข่าวสารของผู้เสียภาษีมีกฎหมายรองรับ ต้นทุนในการเสียภาษีต่ำให้ผู้เสียภาษีมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นหากจะเปลี่ยนนโยบายวิธีปฏิบัติ การใช้ข้อมูลผู้เสียภาษีเป็นไปตามกฎหมายกำหนด และรักษาความสัมพันธ์กับผู้เสียภาษี และชุมชน ประที่สองการสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ สื่อสารให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบถึงจรรยาบรรณ ขจัดความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานของรัฐกับภาคเอกชน กระบวนการ สรรหา และเลื่อนขั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของระบบคุณธรรมฝึกอบรมพัฒนาเจ้าหน้าที่โดยเน้นในเรื่องภาษีที่ซับซ้อน และสัมพันธ์กับโลกาภิวัฒน์ เช่น ประเทศอังกฤษจะ จัดอบรมเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่องพยายามดึงดูด และรักษาพนักงานที่มีสมรรถนะ ประการที่สาม ลักษณะของกฎหมายต้องมีความเป็นธรรม มีความแน่นอน สนับสนุนการกระจายอย่างเป็นธรรม และมีการพัฒนา ไม่ส่งเสริมหรือ สนับสนุนให้มีการหลีกเลี่ยง หรือหนีภาษี การให้ข่าวสาร การรักษาความลับของผู้เสียภาษี อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ประการที่สี่ลักษณะของการบริหารจัดการเก็บภาษี มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต้องคำนึงถึงข้อมูลย้อนกลับการให้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการตรวจสอบ ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระ ข้อมูลต้องสอดคล้อง มีนัยสำคัญ สามารถนำไปใช้ได้ แจ้งให้ผู้เสียภาษีทราบถึงวิธีปฏิบัติ และผลในการต่อรองภายใต้ กฎเกณฑ์ และต้องสนับสนุนหลักการภาษีระหว่างประเทศ ในเรื่องการกำหนดราคาของทรัพย์สินต่ำกว่าราคาตลาดหรือราคาที่ควรจะเป็น (transfer pricing) หรือการขยายสาขา (the arm’s length principle) และประการสุดท้าย การจัดการ และการปรับเปลี่ยนสู่การเปลี่ยนแปลง ต้องมีการทบทวนหลักการ กระบวนการเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีอากร จัดให้มีการประชุมร่วมกัน เพื่อพัฒนามาตรการระหว่างประเทศติดตามการยินยอมการเสียภาษี และมาตรฐานการจัดการระหว่างประเทศ และให้มีมาตรวัดที่จำเป็นสำหรับแต่ละประเทศ รวมถึงการจัดทำข้อตกลงทางการค้า และภาษีอากร
ระบบการจัดเก็บภาษีอากร (จรัส สุวรรณมาลา, 2541, หน้า 5-6) หมายถึง โครงสร้าง และวิธีการจัดเก็บภาษีของประเทศหรือสังคมหนึ่ง ๆ ซึ่งโครงสร้างภาษีจะประกอบด้วยประเภทที่จัดเก็บ ฐานภาษี รวมถึงอัตราภาษีของภาษีแต่ละประเภท ส่วนวิธีการเก็บภาษีนั้นหมายรวมถึงองค์การ และกระบวนการจัดเก็บภาษีประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ ในการวางแผนบริหารการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพนั้น องค์การมีบทบาทสำคัญในการจัดระบบการจัดเก็บปรับกระบวนการจัดเก็บภาษีให้ต่อเนื่องและทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดจนให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งแต่การจัดโครงสร้างองค์การ การแบ่งงาน การรวมและกระจายอำนาจ การกำหนดขั้นตอนการทำงาน การวางแผนและเตรียมการวิธีการรับชำระภาษีการตรวจสอบและประเมินภาษี ตลอดจนการประเมินผลการปฏิบัติงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีระบบบริหารงานบุคคลที่ดี และรัดกุม เนื่องจากเจ้าพนักงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีมีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ผู้เสียภาษีโดยตรงกับทั้งสามารถใช้อำนาจและดุลยพินิจเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว โดยมิชอบได้โดยง่าย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสร้างค่านิยมที่เน้นคุณภาพและจริยธรรมในการปฏิบัติงาน มีการอบรมเพื่อเสริมสร้างจริยธรรมและให้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ เพื่อให้มั่นใจว่า เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจหน้าที่และวิจารณญาณโดยชอบอย่างแท้จริงกับทั้งต้องสร้างระบบแรงจูงใจที่สามารถสนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติงานมีขวัญกำลังใจในการทำงาน มีการปรับปรุงศักยภาพและเพิ่มคุณภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีระบบรักษาวินัยที่เข้มงวด มีระบบการตรวจสอบการปฏิบัติงานของบุคลากรที่ทันเวลา และเชื่อถือได้ โดยมีการสอบสวนที่เป็นธรรมและชัดเจนตลอดจนมีระบบการลงโทษที่รวดเร็วและเด็ดขาด เพื่อป้องปรามและขจัดพฤติกรรมเบี่ยงเบนให้ได้ผลมากที่สุด
การจัดเก็บภาษีอากรของรัฐ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเสียภาษี รัฐจึงต้องคำนึงถึงสภาวะเศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในการใช้นโยบายภาษีและวิธีการจัดเก็บที่เหมาะสมกับภาวการณ์ในแต่ละช่วง หากเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลเป็นหนี้มาก พยายามจะเก็บภาษีเพิ่ม ก็ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน หรือหากรัฐนำเงินภาษีไปใช้อย่างไม่โปร่งใส เกิดการคอรัปชั่น ประชาชนจะรู้สึกว่า บริการที่ได้รับจากภาครัฐไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีที่จ่ายไปก็จะเกิดปรากฎการณ์ต่อต้านการเสียภาษีที่เรียกว่า Tax Revolt (Rubin, 1998, pp. 17-30) เหตุการณ์นี้ เคยเกิดขึ้นที่เมืองซานฟรานซิสโก มลรัฐคาลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 1850-1890 และที่เมืองชิคาโก ในปี ค.ศ. 1930-1933 ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านการเก็บภาษีของรัฐ และหยุดชำระภาษี ตั้งเป็นสมาคมผู้ไม่เสียภาษี เมื่อมีการฟ้องร้อง จะมีทนายไปแก้ต่างให้ทำให้เกิดความวุ่นวาย
การหลบหนีภาษี มีผลทำให้รัฐสูญเสียเม็ดเงินภาษีที่รัฐควรจะจัดเก็บได้แล้ว ยังมีผลกระทบต่อสังคม และเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น เมื่อรัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษี ก็ไม่มีรายได้ที่จะนำไปพัฒนาประเทศหากอัตราการหลบหนีสูง รัฐจะเก็บภาษีไม่ได้ตามจำนวน รัฐบาลจะมีสถานะขาดดุลงบประมาณ หากรัฐบาลแก้ปัญหาโดยเพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้น ก็จะทำให้อัตราการหลบหนีภาษีสูงขึ้นไปอีก ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ เรียกสถานการณ์ว่า วงจรอุบาทว์ (vicious cycle) รัฐจึงควรหามาตรการเพื่อป้องกันวงจรอุบาทว์นี้ (จุฑาทอง จารุมิลินท, 2546)

แนวคิดเกี่ยวกับระบบการบริหารการจัดเก็บภาษี

การบริหารการจัดเก็บภาษีอากร (Tax Administration)

World Bank (2007) ได้นิยามว่า การบริหารการจัดเก็บภาษี จะเริ่มจากการเกี่ยวข้อง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนโยบายและการบริหารจัดการ ซึ่งในที่นี้จะพูดเกี่ยวกับหน่วยงาน การจัดการหน้าที่ และทีมของการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร โดยนโยบายภาษีมีผลต่อต้นทุนในการบริหารจัดการ และหน่วยงานภาษี ซึ่งแบบภาษีจะเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดการบริหาร บางประเทศหน่วยงานภาษีและหน่วยงานศุลกากรจะแยกจากกัน บางประเทศจะรวมกัน หรืออาจมีหน่วยงานที่จัดเก็บเฉพาะค่าธรรมเนียมแยกต่างหาก การบริการการจัดเก็บภาษีจะเน้นหน้าที่ความรับผิดชอบที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการ และการจัดเก็บภาษี ซึ่งหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องจึงต้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในการบริหารการจัดเก็บภาษีให้ได้ตามกฎหมาย
หน่วยงานบริหารจัดการภาษี ปัจจุบันจะเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นโดยเป็นหน่วยงานกึ่งอิสระ (อิสระในการจัดการแต่มีคณะกรรมการ) หลาย ๆ ประเทศพัฒนา กำลังพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพ และ การบริหารจัดการแบบกึ่งอิสระนี้ การบริหารจัดการด้านหน่วยงานนี้บางประเทศ เช่น เดนมาร์ก แคนาดารวมหน่วยงานภาษีและศุลกากรเข้าด้วย บางประเทศแยกจากกัน บางประเทศแยกเป็นตำรวจภาษี (tax police) เช่น ในอิตาลี
ประเด็นสำคัญในการจัดโครงสร้างภายในของหน่วยงานภาษี มักแบ่งตามหน้าที่ของการจัดเก็บตามชนิดของภาษีหรือตามประเภทของผู้เสียภาษีโดยเลือกรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
หน้าที่สำคัญของการบริหารการจัดเก็บภาษี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียภาษี คือ การจัดเก็บภาษี การต่อต้าน การหลบหนีภาษี (ไม่ยินยอมเสียภาษี) โดยส่วนมากเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลหรือการดำเนินการ กระบวนการรวบรวมข้อมูล ข้อมูลแรกจะเกี่ยวกับ การกำหนดกลุ่มผู้เสียภาษี โดยการให้เลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ID) ต่อมา คือ การรวบรวมข้อมูลจากบุคคลที่สามที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ณ ที่จ่าย การเป็นเจ้าของถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น การให้ความรู้ทางภาษีอากร การให้บริการผู้เสียภาษี เพื่อให้การหลีกเลี่ยงภาษีมีน้อย การสอบยันความถูกต้องของการชำระภาษี โดยจะเริ่มจากการยื่นแบบแสดงรายการ การควบคุมชนิดระบบการยื่นแบบ และประเมินภาษี การตรวจสอบภาษี ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของการบริหารการจัดเก็บ การตรวจสอบ และการติดตามผู้หนีภาษี หรือชำระภาษีน้อยกว่าความเป็นจริงเป็นสิ่งจำเป็น ต้องดำเนินการทางอาญา และลงโทษ และหน้าที่สุดท้าย ซึ่งเพิ่มความสำคัญมากขึ้น คือ การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาษีระหว่างประเทศ
การใช้หน่วยงานภายนอกในการบริหารจัดการ เป็นการประยุกต์หลักการของการบริหารงานภาครัฐในการที่จะมอบงานเพื่อให้หน่วยงานมีขนาดเล็กลง โดยการใช้หน่วยงานภายนอก ซึ่งในบางประเทศจะมีประสิทธิผลมากกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ซึ่งในอดีตการแปรรูปแบบเต็มรูปแบบเช่นนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน การบริหารการจัดเก็บภาษีจะรวมถึงการสร้างความยินยอมในการเสียภาษีทั้งของผู้เสียภาษีโดยตรง และบุคคลที่สามที่เกี่ยวข้อง เช่นผู้มีหน้าที่เสียภาษี ณ ที่จ่าย ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินเพื่อที่จะลดต้นทุนในการบริหารจัดการด้วย ในบางประเทศรัฐบาลได้จัดตั้งหน่วยงานอื่นทำหน้าที่มากกว่าหน่วยงานบริหารจัดเก็บภาษี เช่น หน่วยงานตำรวจให้มีหน้าที่ดำเนินการฟ้องร้อง หรือแม้แต่การให้ประชาชนช่วยสอดส่องการใช้อำนาจที่มิชอบ หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงของเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับภาษีอากร การใช้ผู้ตรวจการ (ombudsman) เป็นช่องทางอิสระในการขจัดข้อสงสัย ภาคธุรกิจเองก็ต้องการใช้การตรวจสอบบัญชีและการรับรองบัญชีโดยผู้สอบบัญชีเอกชน ให้มีการใช้ผู้แนะนำด้านภาษี หรือแม้แต่การบริหารการจัดการด้านศุลกากรให้มีการจ้างเหมาบุคคลภายนอก โดยการใช้หน่วยงานตรวจสอบของเอกชน
การเตรียมการวางแผนในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร ต้องจัดทำแผนกลยุทธ์เป็นแบบงานที่ชัดเจน และเป็นวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน แจ้งให้ทุกคนในหน่วยงานทราบเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ และพันธกิจ วิธีปฏิบัติงานต้องชัดเจน โปร่งใส และนำไปปฏิบัติได้ที่สำคัญ คือ ต้องเสมอภาค และเป็นวิธีที่ขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง ในประเทศที่มีวิธีปฏิบัติที่ง่ายจะเป็นประโยชน์ในการปฏิรูปการบริหารการจัดเก็บภาษี เป็นการลดต้นทุนในการสร้างความยินยอมในการเสียภาษี และลดต้นทุนในการบริหารจัดการ แนวปฏิบัติที่ซับซ้อนยุ่งยากอาจทำให้เกิดการตกลงยอมความระหว่างผู้เสียภาษีกับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี ซึ่งมิได้อยู่บนพื้นฐานของข้อกฎหมาย ระบบตรวจสอบภายในที่เข้มแข็งจึงจำเป็น สำหรับกรณีเช่นนี้ การมีจรรยาบรรณอาจใช้เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ เพราะกำหนดพฤติกรรม และสิ่งที่ควรปฏิบัติ/ไม่ควรปฏิบัติของพนักงาน นอกจากนี้ผู้เสียภาษีต้องได้รับทราบเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการภาษีอากรอย่างชัดเจน เช่นวิธีอุทธรณ์ภาษี วิธีการรับทราบข้อมูลต่าง ๆ การขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี การยื่นแบบแสดงรายการ การประเมินภาษี การตรวจสอบ และการติดตามผู้ที่ไม่ยินยอมเสียภาษี
นโยบายภาษีอากรเป็นส่วนของนโยบายการคลังที่มีส่วนช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ นอกจากการจัดเก็บภาษีอากรเพื่อให้รัฐมีรายได้เพียงพอกับการพัฒนาประเทศแล้ว ภาษีอากรยังใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญของรัฐบาลในการบริหาร และพัฒนาประเทศเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการบริหารและพัฒนาประเทศโดยการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (กรมสรรพากร, 2550ค) รัฐบาลอาจใช้นโยบายการจัดเก็บภาษีในการบริหารกิจการที่ใช้ทรัพยากรในการผลิตสินค้าหรือสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยให้จัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง เพื่อลดการบริโภคของประชาชน และในทางตรงข้ามก็อาจลดอัตราภาษีหรือยกเว้นภาษีแก่กิจการที่จำเป็นในการครองชีพสำหรับการกระจายรายได้และทรัพย์สินให้เป็นธรรมรัฐบาลใช้นโยบายจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษีแบบก้าวหน้า เพื่อให้คนมีรายได้มาก ร่ำรวยเสียภาษีมากกว่าคนจน และอาจจัดเก็บภาษีมรดกเพื่อลดความได้เปรียบของบุคคลหรือทายาทที่ได้รับมรดก และเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้กับสังคม ในด้านการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รัฐบาลอาจเพิ่มประเภทหรืออัตราภาษีทางอ้อมสำหรับสินค้าหรือบริการ ทำให้ระดับราคาสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น เพื่อประชาชนจะได้ลดการบริโภคลง เมื่อประชาชนลดการบริโภคลง ราคาสินค้าหรือบริการก็จะลดลง ภาวะเงินเฟ้อก็ผ่อนคลายได้ ในด้านการรักษาดุลการชำระเงินรัฐบาลอาจใช้นโยบายยกเว้นหรือลดอัตราภาษีสินค้าที่ส่งออก ในขณะเดียวกันก็จัดเก็บภาษีจากการนำเข้าสินค้าในอัตราที่สูงเพื่อลดปริมาณการนำเข้า และประการสุดท้ายที่ใช้นโยบายภาษีในการพัฒนาประเทศ คือ การเสริมสร้างความเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจการจัดเก็บภาษีอากรสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศที่กำลัง เจริญเติบโตให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม โดยการกำหนดมาตรการที่สำคัญเพื่อการเสริมสร้างความเจริญเติบโต ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการลงทุนที่มีความสำคัญต่อการขยายต่อเศรษฐกิจ มาตรการส่งเสริมการออม มาตรการส่งเสริมการส่งออก มาตรการเพิ่มการใช้จ่ายของประชาชนในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ เป็นต้น

ลักษณะที่ดีของภาษีอากร

ภาษีอากรเป็นสิ่งที่รัฐบังคับจัดเก็บจากประชาชนและถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ดังนั้น เพื่อให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้เพียงพอ มีประสิทธิภาพและเพื่อเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีในการจัดเก็บภาษีอากรต่อผู้เสียภาษี จึงควรมีระบบภาษีอากรที่ดีซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้ (กรมสรรพากร, 2550ค) คือ (1) มีความเป็นธรรม การจัดเก็บภาษีอากรที่ดีต้องสร้างความยุติธรรมเท่าเทียมให้กับผู้เสียภาษี โดยภาษีที่ดีต้องจัดเก็บจากความสามารถในการเสียภาษีของผู้มีเงินได้ ฐานะ สภาพความเป็นอยู่ หรือการได้รับผลประโยชน์หรือการบริการจากรัฐ นอกจากนี้ในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอากรก็จำเป็นต้องให้ความเท่าเทียมกับผู้เสียภาษีทุกคน มิฉะนั้นแล้วก็อาจจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมและการหลีกเลี่ยงการเสียภาษี (2) มีความสะดวก เพื่อร้างความสมัครใจในการเสียภาษีและเพื่อมิให้การจัดเก็บภาษีเป็นภาระสร้างความยุ่งยากให้แก่ผู้เสียภาษี ในการจัดเก็บภาษีอากร รัฐจึงควรจัดให้มีการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียภาษีในด้านต่าง ๆ เช่น การให้บริการในความรู้ ข้อกฎหมาย ระเบียบแนวปฏิบัติ การให้คำปรึกษา แนะนำการกรอกแบบแสดงรายการ กำหนดเวลาและสถานที่ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี เป็นต้น (3) ความแน่นอน การจัดเก็บภาษีต้อง มีความชัดเจนและแน่นอนโดยเฉพาะในด้านข้อกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เสียภาษีปฏิบัติและเสียภาษีถูกต้อง อันจะเป็นการขจัดปัญหาต่าง ๆ และเป็นการสร้างความมั่นใจในการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น (4) ความประหยัด การจัดเก็บภาษีที่ดีต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายให้กับผู้เสียภาษี นอกจากเงินภาษีที่ผู้เสียภาษีต้องชำระแล้ว นอกจากนี้ในส่วนของภาครัฐการจัดเก็บภาษีก็ควรต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บต่ำ ทั้งนี้ เพื่อให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพียงพอ และนำไปใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ มากขึ้น (5) ความเป็นกลางทางเศรษฐกิจการจัดเก็บภาษีอากรที่ดีจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกลไกตลาดหรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการผลิตหรือการบริโภคของผู้เสียภาษี ทั้งนี้ เนื่องจากจะทำให้ธุรกิจมีการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ อันจะก่อให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ (6) ระบบภาษีที่ดีต้องสามารถอำนวยรายได้ รัฐบาลจำเป็นต้องนำรายได้ จากภาษีอากรไปเพื่อการใช้จ่ายและพัฒนาประเทศ ดังนั้น การจัดเก็บภาษีอากรที่ไม่สามารถให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงไม่สมควรนำมาใช้บังคับจัดเก็บ ทั้งนี้ เนื่องจากจะเป็นภาระแก่ผู้เสียภาษีแล้วรัฐยังไม่สามารถนำรายได้จากการจัดเก็บไปใช้ได้อย่างเพียงพออีกด้วย (7) มีความยืดหยุ่น ภาษีที่จัดเก็บต้องมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้ โดยหากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ การจัดเก็บภาษีควรไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนผู้เสียภาษี ซึ่งมีรายได้น้อยในขณะนั้น และหากภาวะเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง ระบบภาษีที่ดีควรจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐเพิ่มขึ้นในขณะที่ประชาชนมีรายได้สูงขึ้นในขณะนั้น และ ( 8 ) สามารถบังคับใช้ได้ กฎหมายภาษีอากรที่ใช้ในการจัดเก็บต้องสามารถนำไปปฏิบัติได้แม้ว่า เป็นภาษีที่ดีในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติหากการจัดเก็บกระทำได้ยากก็อาจก่อให้เกิดภาระ รวมทั้งต้นทุนในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร

โครงสร้างของภาษีสรรพากร

การจะจัดเก็บภาษีได้ผลเพียงใดนั้น ส่วนหนึ่งที่มีผลกระทบคือ โครงสร้างของภาษี ในประเทศไทยมีการพิจารณาดังนี้ (กรมสรรพากร, 2550ข, หน้า 46-47)

1.ประเภทของภาษีอากร ประเภทของภาษีอากรที่กรมสรรพากรจัดเก็บสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ทางตรงและภาษีทางอ้อม ภาษีทางตรง (direct tax) หมายถึง ภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียต้องรับภาระในภาษีที่ตนมีหน้าที่เสีย โดยไม่สามารถผลักภาระไปให้บุคคลอื่นได้ ประเภทของภาษีทางตรงที่กรมสรรพากรจัดเก็บ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ส่วนภาษีทางอ้อม (indirect tax) หมายถึง ภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีสามารถผลักภาระไปให้บุคคลอื่นได้ การผลักภาระภาษีอาจผลักไปข้างหน้าโดยเพิ่มในราคาสินค้าหรือบริการ หรือผลักไปข้างหลังการลดราคาสินค้าหรือวัตถุดิบที่ผู้ผลิตขายให้กับผู้เสียภาษี ประเภทของภาษีทางอ้อมที่กรมสรรพากรจัดเก็บ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น
2.ฐานภาษี ได้แก่ สิ่งที่นำมาเป็นฐานในการคำนวณภาษี ภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บในปัจจุบันคำนวณบนฐานภาษีซึ่งได้แก่ ฐานรายได้ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คำนวณจากฐานเงินได้สุทธิ ภาษีเงินได้นิติบุคคล คำนวณจากฐานกำไรสุทธิ เป็นต้น สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มคำนวณจากภาษีขายลบด้วยภาษีซื้อ และภาษีธุรกิจเฉพาะคำนวณจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่าย ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บจากฐานการบริโภค เป็นต้น
3.อัตราภาษี ที่กรมสรรพากรใช้ในการจัดเก็บเป็นอัตราตามมูลค่า (advalorem tax) ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น อัตราก้าวหน้า เป็นการจัดเก็บภาษีที่เมื่อฐานภาษีสูงขึ้น อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้น ได้แก่ การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น และอัตราคงที่ เป็นการจัดเก็บภาษีที่เมื่อฐานภาษีสูงขึ้น อัตราภาษีจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ การจัดเก็บภาษีเงินได้สำหรับนิติบุคคลทั่วไป ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น
4.วิธีการเสียภาษี การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร สามารถแบ่งวิธีการจัดเก็บภาษีออกเป็นการจัดเก็บภาษีโดยผู้เสียภาษีประเมินตนเอง เป็นวิธีการเสียภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเป็นผู้คำนวณภาษีจากฐานภาษี โดยการกรอกแบบแสดงรายการ และชำระภาษีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนดและการจัดเก็บภาษีโดยเจ้าพนักงานประเมิน เป็นวิธีการที่ผู้เสียภาษีไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี หรือผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้ยื่นแบบฯ ไว้แล้ว และเจ้าพนักงานได้ตรวจสอบพบว่า ผู้เสียภาษีได้ยื่นภาษีไว้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานจะคำนวณและประเมินเรียกเก็บภาษีจากผู้เสียภาษีให้ถูกต้องต่อไป และการจัดเก็บภาษีโดยการเสียภาษีล่วงหน้าหรือภาษีหัก ณ ที่จ่าย การเสียภาษีล่วงหน้าหรือภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็นวิธีการจัดเก็บภาษีในขณะที่ผู้เสียภาษีมีเงินได้ โดยผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่คำนวณภาษีจากเงินได้ที่จ่ายและนำส่งภาษี ภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย ให้ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีของผู้มีเงินได้เมื่อยื่นแบบแสดงการภาษี
5.การอุทธรณ์การเสียภาษี ในกรณีที่ผู้เสียภาษีได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีจากเจ้าพนักงานเพื่อการเรียกเก็บภาษีที่ผู้เสียภาษีเก็บไว้ไม่ครบถ้วนถูกต้อง ซึ่งผู้เสียภาษีไม่เห็นด้วยและต้องการให้เจ้าพนักงานทบทวนการประเมินดังกล่าว ผู้เสียภาษีสามารถอุทธรณ์การประเมินได้ โดยให้ยื่นคำขออุทธรณ์การประเมินต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะพิจารณาและแจ้งผลการพิจาณาให้กับผู้เสียภาษีทราบ และหากผู้เสียภาษีด้วยกับผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็สามารถนำเรื่องขึ้นสู่ชั้นศาลได้
6.บทลงโทษทางภาษีอากร หากผู้เสียภาษีไม่ยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้แล้ว แต่ได้ชำระภาษีไว้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้ภาษีลดลงได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ที่เสียภาษีไว้ครบถ้วนถูกต้องและเพื่อให้รัฐมีรายได้ภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ผู้ฝ่าฝืนที่ไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วนถูกต้องจะได้รับบทลงโทษ ซึ่งประกอบด้วย โทษทางอาญาและโทษทางแพ่ง โทษทางอาญา ได้แก่ ค่าปรับ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ จะใช้ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือผู้ที่มีเจตนาในการทำลายระบบภาษีอากร โทษทางแพ่ง ได้แก่ เบี้ยปรับและเงินเพิ่มโดยเบี้ยปรับ ได้แก่ เงินที่รัฐเรียกเก็บเป็นจำนวนเท่ากับภาษีที่ชำระไว้ไม่ครบหรือมิได้ชำระ โดยหากผู้เสียภาษีมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี เบี้ยปรับจะเท่ากับ 2 เท่าของภาษีที่มิได้ยื่นชำระ แต่หากผู้เสียภาษีได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ แต่ได้ชำระภาษีไม่ครบถ้วน เบี้ยปรับจะเท่ากับ 1 เท่าของภาษีที่ชำระไว้ขาด และเงินเพิ่ม ได้แก่ เงินที่รัฐเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน โดยคำนวณจากภาษีที่ชำระไว้ขาดหรือภาษีที่มิได้ชำระ และระยะเวลาที่นับตั้งแต่วันพ้นกำหนดเวลาการชำระภาษีจนกระทั่งถึงวันที่ได้ชำระภาษีเพิ่มเติมครบถ้วน ถูกต้อง
วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การวางแผนกำลังการผลิต

การผลิตได้ในปริมาณที่ลูกค้าต้องการ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่งของการบริหารการผลิต ซึ่งการที่จะสามารถผลิตได้ตามปริมาณที่กำหนดไว้ต้องอาศัยทรัพยากรขององค์การหลายอย่าง อันได้แก่ เงินทุน วัตถุดิบ แรงงาน ตลอดจนเครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่เนื่องจากทรัพยากรขององค์การมีอยู่อย่างจำกัดจึงต้องวางแผนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องจักรอุปกรณ์ ตลอดจนโรงงานซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ทำการผลิต ต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก และใช้เวลาในการคืนทุนนาน

ดังนั้น การวางแผนและจัดการด้านกำลังการผลิต ซึ่งเป็นการวางแผนและดำเนินการเกี่ยวกับขนาดของโรงงานหรือสถานที่ทำการผลิต จำนวนเครื่องจักรอุปกรณ์ ตลอดจำนวนคนงานที่เหมาะสม จึงเป็นภาระงานสำคัญของการบริหารการผลิต โดยต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ต่อองค์การในระยะสั้นควบคู่กับระยะยาว และใช้ปัจจัยเชิงปริมาณเป็นหลักในการพิจารณาประกอบกับปัจจัยเชิงคุณภาพให้องค์การมีกำลังการผลิตที่เหมาะสม ไม่เกิดปัญหาการผลิตได้น้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าเพราะกำลังการผลิตน้อยเกินไป และไม่เกิดปัญหาเครื่องจักรมากเกินไปจนกลายเป็นความสูญเปล่า เพราะกำลังการผลิตมากเกินไป

ความหมายของกำลังการผลิตและการวัดกำลังการผลิต

กำลังการผลิต (capacity) คือ อัตราสูงสุดที่ระบบการผลิตสามารถผลิตได้เต็มที่ในช่วงเวลาหนึ่งของดำเนินงาน การวัดกำลังการผลิต สามารถกระทำได้ 2 ทาง คือ
1. การวัดกำลังการผลิตจากผลผลิต
การวัดกำลังการผลิตจากผลผลิตจะใช้เมื่อผลผลิตจากกระบวนการสามารถนับเป็นหน่วยได้ง่าย ได้แก่ สินค้าที่มีตัวตน (tangible goods) ซึ่งจะเน้นการผลิตแบบตามผลิตภัณฑ์ (product - focused) เช่น การวัดกำลังการผลิตของโรงงาน โดยนับจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ต่อปี (โรงงานผลิตรถยนต์โตโยต้า) นับจำนวนนมกล่องที่ผลิตได้ต่อวัน (โรงงานนมสดเมจิ) นับจำนวนลิตรของน้ำมันที่กลั่นได้ต่อเดือน (โรงงานกลั่นน้ำมันไทยออยล์) เป็นต้น
2. การวัดกำลังการผลิตจากปัจจัยการผลิต
การวัดกำลังการผลิตจากปัจจัยการผลิต จะใช้เมื่อผลผลิตจากกระบวนการนับเป็นหน่วยได้ยากหน่วยของผลิตภัณฑ์ไม่ชัดเจน ได้แก่ การบริการต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการผลิตแบบตามการะบวนการ เช่น การวัดกำลังการผลิตของร้านบิวตี้ซาลอนจากจำนวนช่างตัดผม การวัดกำลังการผลิตของโรงพยาบาลจำนวนเตียงคนไข้ การวัดกำลังการผลิตของร้านอัดขยายภาพจากจำนวนชั่วโมงการทำงานของเครื่องจักร เป็นต้น

แม้ว่าองค์การจะมีกำลังการผลิตเป็นอัตราสูงสุดที่จะสามารถผลิตได้ แต่ในการปฏิบัติงานจริงอัตราการผลิตมักจะต่ำกว่ากำลังการผลิต เพราะจะต้องคำนึงถึงการหยุดพักหรือการบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ เพื่อถนอมไว้ใช้งานได้ในระยะยาวมากกว่าการเล็งผลในระยะสั้นเท่านั้น การใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่มักจะเกิดต้นทุนการทำงานล่วงเวลาในกะพิเศษหรือการลดการบำรุงรักษาอุปกรณ์ตามแผนที่กำหนดไว้ประจำหรือ การใช้ผู้รับสัญญาช่วง ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นทั้งสิ้น ดังนั้นกำลังการผลิตที่เต็มที่จะถูกใช้จริงก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นและไม่เกิดขึ้นบ่อยนักภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

ข้อควรคำนึงในการวางแผนกำลังการผลิต

การวางแผนกำลังการผลิตจึงต้องคำนึงถึงกำลังการผลิตที่เกิดประสิทธิผลอันแท้จริงซึ่งต้องพิจารณาจาก

1. Peak capacity หรือ Design capacity เป็นกำลังการผลิตเต็มที่ ซึ่งมักไม่ได้ใช้ในการปฏิบัติงานจริง เพราะเป็นการใช้เครื่องจักรอุปกรณ์เต็มที่โดยไม่คำนึงถึงการหยุดพักหรือการบำรุงรักษาเลย
2. Rated capacity เป็นอัตราการผลิตสูงสุดที่ทำได้หลังจากหักลบส่วนการหยุดพักซ่อมแซมบำรุงรักษาแล้ว
3. Effective capacity เป็นอัตราการผลิตสูงสุดที่ผ่ายการผลิตสามารถกระทำให้เกิดต้นทุนการผลิตที่ประหยัดได้ ภายใต้สภาวการณ์การผลิตปกติ (normal condition)

การวัดกำลังการผลิตที่ประหยัด การวัดกำลังการผลิตที่ประหยัดซึ่งมีการวางแผนไว้ในสภาวการณ์การผลิตปกติ จึงวัดจาก utilization ซึ่งเป็นระดับเครื่องจักรอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์ในการผลิตที่คาดหวังไว้ว่าจะประหยัดต้นทุนได้

อย่างไรก็ดีในการปฏิบัติงานจริง utilization อาจเกิดขึ้นได้ไม่เต็มที่ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่จะทำให้อัตราการผลิตจริงที่เกิดขึ้นน้อยกว่าอัตราการผลิตที่คาดหวัง จึงต้องวัด effective ซึ่งเป็นระดับที่กำลังการผลิตถูกใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง

ดังนั้น อัตราการผลิตที่แท้จริง ซึ่งจะเท่ากับ rated capacity หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า nominal capacity จะเท่ากับผลคูณของกำลังการผลิตสูงสุดกับ utilization และ effective

กำลังการผลิตที่สูงสุดที่องค์การมีอยู่นั้นจะถูกใช้ปฏิบัติการผลิตให้ได้ผลผลิตเท่าใด ย่อมขึ้นอยู่กับระดับการผลิตที่ตั้งไว้ให้เกิดต้นทุนการผลิตที่ประหยัดซึ่งคาดหวังเอาไว้ (utilization) และความมีประสิทธิภาพ (effective) ของระดับการผลิตที่คาดหวังไว้นั้นบังเกิดผลเพียงใดด้วยการที่องค์การจะกำหนดระดับการผลิตเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในและภายนอกองค์การที่มีผลต่อการตัดสินใจหลายประการ ปัจจัยภายในองค์การที่ใช้กำหนดระดับกำลังการผลิตที่สำคัญคือ เงินทุนและแนวนโยบายขององค์การ
ปัญหาภายในอุตสาหกรรม (industrials’ internal problems) ประกอบด้วย
1. เงินทุนหมุนเวียนฉุกเฉิน (Baden, 2001, pp. 14-15)
2. เงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการ
3. การจ่ายเงินค่าสินค้าของลูกค้า
4. แรงงานฝีมือ หมายรวมถึง ความรู้ ทักษะ ความพร้อมต่อการปรับตัวตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของช่างเย็บ ออกแบบ วาดแบบ ตัดผ้า (Baden, 2001, pp. 8, 20) และการขาดแคลน (ชวลิต นิ่มละออ, 2540, หน้า 133)
5. การผลิตที่ไม่ตรงตามคำสั่งซื้อของลูกค้า
6. เทคโนโลยี เครื่องจักรและความคิดใหม่ ๆ
7. การลำดับขั้นตอนการเย็บหรือผลิต
8. การลำดับขั้นตอนการนำเสนอในการขาย
9. การลำดับขั้นตอนการส่งออก
10. ตัวอย่างสินค้าที่ใช้นำเสนอต่อลูกค้าเพื่อส่งออก
11. ประสบการณ์ของหน่วยงานขายของกิจการ
12. กลยุทธ์ตลาดที่ใช้แข่งขัน (คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ, 2541, หน้า 40-42; ชวลิต นิ่มละออ, 2540, หน้า ค-ฉ; สมชาย สกุลสุรรัตน์, 2545, หน้า 154-157; Sevilla & Soonthornthada, 2000, pp. 1-43) นอกจากการพัฒนาใช้อุปสรรคภายนอกและปัญหาของอุตสาหกรรมเพื่อสร้างการเติบโตและมีกำไรมากขึ้น ผู้บริหารควรพัฒนาลักษณะตลาดของกิจการ เพื่อให้กิจการเติบโตเพิ่มมากยิ่งขึ้น

industrials’ external obstacles

อุปสรรคภายนอกอุตสาหกรรม (industrials’ external obstacles) ประกอบด้วย
1. เศรษฐกิจภายในประเทศของลูกค้า
2. ความต้องการของลูกค้า
3. การแข่งขันราคาในตลาดของลูกค้า
4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีรายได้ ภาษีชดเชยมุมน้ำเงิน ภาษีนำเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบ (Gereffi, 2003, pp. 1-46) ขณะเดียวกัน ภาษียังมีผลต่อการทำกำไรและการเร่งส่งออกของกิจการมากขึ้น (Kumar & Siddarthan, 1993, p. 9)
5. ต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะต้นทุนสาธารณูปโภคเกี่ยวข้องกับน้ำมันและอัตราค่าจ้าง มีผลต่อการลดต้นทุนสินค้าให้ต่ำลง ซึ่งต่อเนื่องถึงการเติบโตของอุตสาหกรรม (Brookstein, 1997, pp. 79-81) และการส่งออก อีกทั้งยังมีความสำคัญสำหรับการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปโดยผู้รับจ้างผลิตในท้องถิ่น (Lau, 2000, pp. 1-6) ที่ต้องอาศัยการขนส่งเพื่อก่อให้เกิดการได้เปรียบแข่งขัน (Hill, 1998, pp. 34, 56) และการเติบโตของอุตสาหกรรมส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปในอินเดีย (Baden, 2001, p. 37) เป็นไปตาม ทฤษฎีลูกโซ่มูลค่าของ Porter (1990, p. 43) ในการเพิ่มมูลค่าของสินค้ามากขึ้น และทฤษฎี Domino ของ Heinrich คือ การเกิดข้อบกพร่องหรือปัญหา ณ จุดใดย่อมเกิดผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ได้
6. อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (ฉลองภพ สุสังกรณ์กาญจน์, ณัฏฐพงศ์ ทองภักดี, ปราณี ทินกร, จารุณี เติมไพบูลย์, ปนิษฐา พัวพันวัฒนะ, ดวงฤดี ศิริเสถียร, จิรัตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา, พรทิพย์ หล่อไพบูลย์ และกำชับ นพคุณ, 2541, หน้า 27-31, 55-59, 77)
7. มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อผลักดันการส่งออกเสื้อผ้า โดยเฉพาะการจัดสรรโควต้าส่งออก
8. วัตถุดิบภายในประเทศมีราคาแพง เพราะไม่มีอุตสาหกรรมต้นน้ำสนับสนุนและมีการพัฒนาที่น้อยมาก เช่น ฝ้าย ส่วนผ้าทอและผ้าใยสังเคราะห์ เป็นวัตถุดิบหลักของตลาดในภูมิภาคเอเชีย (Girrbach, 2000, p. 1) ทำให้ทั้งคุณภาพและเวลาส่งมอบไม่ตรงตามคำสั่งซื้อและไม่มีความทันสมัย ซึ่ง Patrawart (อ้างถึงใน Baden, 2001, p. 34) พบว่า อุตสาหกรรมส่งออกเสื้อผ้าของไทยส่วนใหญ่ ต้องอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบ แต่การนำเข้ามาต้องประสบกับมาตรการการควบคุมของภาครัฐในการนำเข้าสูง เช่น เก็บภาษีสูงหรือ จำกัดปริมาณ เพื่อกีดกันหรือควบคุมมากขึ้นในการนำเข้า ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงแล้วยังมีราคาที่ไม่ยุติธรรมต่อการใช้แหล่งวัตถุดิบ (material sources) เป็นกลยุทธ์ กล่าวคือ การใช้วัตถุดิบใหม่ที่มีราคายุติธรรม มีคุณภาพและเวลาส่งมอบที่เชื่อถือ ทำให้สินค้าแตกต่างจากคู่แข่ง เป็นที่ต้องการของตลาด เช่นเดียวกับการศึกษาของ (Lal, 1999, pp. 1, 17-20) พบว่า วัตถุดิบมีผลต่อการส่งออก
9. ดอกเบี้ยจ่ายสูง ทั้งนี้เพราะวงเงินกู้เพื่อส่งออกสูง ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันความเสี่ยง (จรัล มงคลจันทร์, 2544; Moen, 2001) ดังนั้น การจัดการแหล่งเงินทุน จึงไม่สนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดเล็กและกลางเพื่อส่งออก (Moen, 2001) ทำนองเดียวกันอุตสาหกรรมส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปขนาดเล็กและกลางของไทยส่วนใหญ่ในช่วง พ.ศ. 2537-2538 ใช้การจัดการสภาพคล่องทางการเงิน กรณีฉุกเฉินและขยายกิจการโดยอาศัยการเงินนอกระบบจาก ญาติ เพื่อน วงเงินแชร์ การขายลดเช็คที่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่าธนาคารและจากสถาบันการเงินในระบบที่มีดอกเบี้ยร้อยละ 14-18 ต่อตั๋วส่งออก (L/C) ที่มีความยุ่งยากและค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในแถบเอเชีย (ฉลองภพ สุสังกรณ์กาญจน์ และคนอื่น ๆ, 2541, หน้า 99) นอกจากการพัฒนาใช้อุปสรรคภายนอก เพื่อสร้างการเติบโตและมีกำไรมากขึ้นผู้บริหารควรพัฒนาปัญหาภายในอุตสาหกรรม เพื่อให้กิจการเติบโตเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ทฤษฎีการออม

ตามแนวความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการออม (saving) มีนักเศรษฐศาสตร์กล่าวไว้หลายทฤษฎีด้วยกัน โดยรายละเอียดของทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมีดังนี้ (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, 2547, หน้า 20-24)



ทฤษฎีการออมกับกระแสรายได้และรายจ่าย

ระดับรายได้เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการออมทรัพย์ ตามทฤษฎีการใช้จ่ายอุปโภคบริโภค (การออมทรัพย์) ของ Keynes การออมทรัพย์มีความสัมพันธ์กับรายได้ภายหลังหักภาษี ถ้ารายได้หลังหักภาษีสูงขึ้นความสามารถในการออมทรัพย์จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อรายได้หลังหักภาษีเพิ่มสูงขึ้นแล้ว การออมทรัพย์จะเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการกระจายของรายได้อีกด้วย ซึ่งสามารถเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ที่สามารถใช้สอยได้จริง ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภค และปริมาณการออมได้ดังนี้

Y = C + S
กำหนดให้ Y = รายได้ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้จริง
C = ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภค
S = ปริมาณการออม




ทฤษฎีการออมกับระดับราคา

ระดับราคาก็เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการออมทรัพย์ ถ้าระดับราคาสินค้าสูงขึ้นอำนาจในการซื้อจะลดลง นั่นหมายถึงการใช้จ่ายเงินจำนวนเท่าเดิมจะซื้อสินค้าได้น้อยลง ดังนั้น การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคที่แท้จริงจะลดลง หรือการออมที่แท้จริงจะเพิ่มสูงขึ้น การออมที่แท้จริงก็ยังคงเพิ่มขึ้นได้ ตราบเท่าที่การใช้จ่ายอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของระดับราคา ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ถ้าผู้บริโภคคาดว่าระดับราคาสินค้าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างถาวรเป็นระยะเวลานาน ก็อาจคาดได้ว่า ในอนาคตระดับราคาสินค้าจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคในปัจจุบันมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการออมมีระดับลดลง




ทฤษฎีการออมกับอัตราดอกเบี้ย

จากการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการออมกับระดับรายได้เป็นหลักแล้ว นอกจากระดับรายได้ตามทฤษฎี อัตราดอกเบี้ยก็สามารถส่งผลกระทบต่อปริมาณการออมได้เช่นกัน ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยในทรรศนะของนักเศรษฐศาสตร์คลาสสิกแล้วถือว่าอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการออมได้ โดยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่เป็นบวกจะเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้ออมทำการออมมากขึ้น การออมที่แท้จริงผันแปรไปในทิศทางเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นการออมทรัพย์จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ฟังก์ชันการออมตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของสำนักคลาสสิก แสดงได้ดังนี้
S = S(r)
กำหนดให้ S = การออมที่แท้จริง
r = อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง

1. กฎเกณฑ์ที่สำคัญของกองทุนการเงินระหว่างประเทศมีดังนี้ คือ
- ประเทศสมาชิกทั้งหลายจะต้องกำหนดค่าเสมอภาคระหว่างเงินตราของตนกับทองคำและเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา
- ประเทศสมาชิกมีภาระที่จะต้องรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของตนมิให้เปลี่ยนแปลงไปจากค่าเสมอภาค ทั้งทางเพิ่มขึ้นหรือลดลงในแต่ละกรณีไม่เกินกว่าร้อยละ 25
- ประเทศสมาชิกจะเปลี่ยนแปลงค่าเสมอภาคได้เมื่อดุลการชำระเงินขาดเสถียรภาพมาเป็นระยะเวลานาน
2. กองทุนทรัสต์ ตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือที่มีเงื่อนไขผ่อนปรนแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่อบุคลต่ำและประสบปัญหาดุลการชำระเงินขาดดุล
กองทุนเสริมตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือระยะปานกลางแก่ประเทศที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงิน อันเกิดจากปัญหาโครงสร้างการผลิตและการค้าต่างประเทศ จนทำให้มีความจำเริญทางเศรษฐกิจในระดับต่ำ
3. กองทุนการเงินระหว่างประเทศมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการดังต่อไปนี้คือ
- ให้คำแนะนำปรึกษาปัญหาทางเศรษฐกิจและแนวทางแก้ไข
- ให้ความรู้ทางวิชาการเงินและการคลังแก่ประเทศสมาชิก โดยการจัดการฝึกอบรมเป็นครั้งคราว
- ให้ข้อมูลข่าวสารทางวิชาการที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศสมาชิก

ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา
1. ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนาจัดตั้งขึ้นมาโดยวัตถุประสงค์ดังนี้
- เพื่อช่วยเหลือบูรณะและพัฒนาประเทศสมาชิก
- เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนในต่างประเทศของเอกชน
- เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศให้ขยายตัวอย่างมีระเบียบในระยะยาว และให้มีเสถียรภาพในเรื่องดุลภาพการชำระเงินระหว่างประเทศ
2. บทบาททางด้านการบูรณะและพัฒนาของธนาคารระหว่างประเทศ เพื่อการบูรณะและพัฒนาก็คือ ธนาคารนี้จะให้เงินกู้เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ โดยในระยะแรกได้ให้ประเทศในยุโรปกู้เพื่อนำไปบูรณะประเทศ ต่อมาได้ให้ประเทศกำลังพัฒนากู้ไปเพื่อการพัฒนาประเทศ และในภายหลังนี้ ได้ขยายเงินกู้ไปให้แก่การกู้ที่ไม่เกี่ยวกับโครงการและเงินกู้เพื่อปรับปรุงโครงสร้างด้วย ซึ่งนับว่าเป็นแนวคิดใหม่เกี่ยวกับบทบาทใหม่ของธนาคาร

1. ภาวะความยุ่งยากทางการเงินของประเทศต่าง ๆ ภายหลังสงครามโลก ทำให้ประเทศต่าง ๆ เห็นพ้องกันว่า ควรจะมีการจัดตั้งสถาบันการเงินระหว่างประเทศขึ้น เพื่อให้ระบบการเงินระหว่างประเทศมีเสถียรภาพ ปราศจากการแข่งขันการลดอัตราแลกเปลี่ยน
2. สถาบันการเงินที่ตั้งขึ้นมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนใหญ่มีบทบาททางด้านการบูรณะและพัฒนา บทบาททางด้านการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และบทบาทในการให้คำแนะนำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ประเทศต่าง ๆ
3. กองทุนการเงินระหว่างประเทศจัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2487 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการเงินระหว่างประเทศ อำนวยความสะดวกทางด้านการค้า ส่งเสริมให้การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีเสถียรภาพ และช่วยขจัดปัญหาความไม่สมดุลของดุลการชำระเงินในประเทศต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศมีสมาชิกมากกว่า 140 ประเทศ
4. บทบาทที่สำคัญของกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้แก่ การให้ประเทศต่าง ๆ รักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศต่าง ๆ ในด้านการปรับดุลการชำระเงิน และการประคับประคองให้ระบบการเงินระหว่างประเทศเข้ากับนโยบายการเงินของแต่ละประเทศ

ตลาดเงินตราต่างประเทศ
1. ตลาดเงินตราต่างประเทศทำหน้าที่ด้านต่าง ๆ ดังนี้คือ
- หน้าที่ในการโอนอำนาจซื้อ
- หน้าที่ในการให้สินเชื่อ
- หน้าที่ในการช่วยลดความเสี่ยง
2. ประเทศสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางที่สำคัญของตลาดเอเชียดอลล่าร์เนื่องมาจากประเทศสิงคโปร์ได้มีการปรับปรุงระเบียบการเงินที่ล้าหลังและก่อให้เกิดความไม่สะดวกให้มีความทันสมัยมากขึ้น มีการปรับปรุงระบบการเก็บภาษีเงินได้ของเงินฝากชาวต่างประเทศให้เหมาะสมยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังมีความได้เปรียบทางด้านระบบการควบคุมการสื่อสารมากกว่าประเทศอื่นในทวีปเอเชีย

การเปลี่ยนแปลงค่าของเงินระหว่างประเทศ
การลดค่าเงิน หมายถึง การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งเปลี่ยนแปลงค่าเสมอภาคในเงินตราสกุลของตนให้ต่ำลง เมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาและทองคำ
การที่ประเทศไทยลดค่าเงินบาทลงจะมีผลทำให้ราคาสินค้านำเข้าราคาสูงขึ้น แต่ราคาสินค้าส่งออกจะต่ำลง ซึ่งจะทำให้ประชาชนในประเทศซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลง ชาวต่างประเทศจะซื้อสินค้าจากประเทศไทยมากขึ้น ในที่สุดเงินตราจะไหลเข้าประเทศมากขึ้น ดุลการชำระเงินในประเทศไทยจะดีขึ้น
วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

ทฤษฎีการพัฒนาตนเอง

การพัฒนาตามทฤษฎีของพุทธศาสนา ตามทฤษฎีของพุทธศาสนา การพัฒนาตรงกับคำว่า “ภาวนา” ซึ่งหมายถึง การทำให้เจริญงอกงาม ถึงอย่างไรก็ตาม คำว่า “การพัฒนา” ในที่นี้เป็นคำที่กำหนดให้มีคุณค่า และตามหลักการของพุทธศาสนา การพัฒนาจะต้องดำเนินไปพร้อม ๆ กัน 4 ทาง คือ (จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์, 2545, หน้า 163-164)

1. การพัฒนาทางด้านกายภาพ (physical development) เป็นกระบวนการสร้างความเจริญงอกงามทางร่างกาย การฝึกอบรมร่างกายให้รู้จักติดต่อกับสิ่งภายนอกด้วยดีและปฏิบัติต่อสิ่งภายนอกเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมเจริญงอกงามและกำจัดให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญไป สิ่งภายนอกที่มีบทบาทต่อชีวิตมนุษย์ก็ คือ อารมณ์ภายนอกทั้ง 5 ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จุดมุ่งหมายของการพัฒนาในข้อนี้ก็คือ การทำให้บุคคลรู้จักวิธีการเกี่ยวข้องกับอารมณ์ภายนอกทั้ง 5 อย่างนี้ อย่างถูกต้องเหมาะสม และเป็นคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาชีวิตให้เจริญก้าวหน้าสูงขึ้น
2. การพัฒนาทางด้านศีลธรรม (moral development) เป็นกระบวนการฝึก อบรมบุคคลให้มีศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียน หรือก่อความเดือดร้อนเสียหายแก่บุคคลอื่น สามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้เป็นอย่างดี มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อบุคคลอื่น
3. การพัฒนาทางด้านจิตใจ หรือทางด้านอารมณ์ (spiritual or emotionaldevelopment) เป็นความพยายามที่จะฝึกอบรมจิตใจให้เข้มแข็งให้มีความมั่นคง และมีความเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตากรุณา มีความขยันหมั่นเพียร มีความอดทน มีสมาธิ มีความสดชื่นเบิกบาน มีความสงบสุข แจ่มใส เป็นต้น การพัฒนาทางด้านจิตใจที่บางทีเรียกว่า การพัฒนาอารมณ์
4. การพัฒนาทางด้านสติปัญญา (intellectual development) เป็นกระบวนการในการฝึกอบรมให้รู้และเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ผู้ที่มีความรู้เท่าทันเห็นแจ้งโลกและชีวิตตามสภาพของมัน สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ และบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสเศร้าหมอง และทำตนให้ปลอดพ้นจากความทุกข์ ทำตนให้มีความสุข สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถทำตนให้อยู่เหนือปัญหา เหนือความขัดแย้ง และพัฒนาส่วนรวมให้มีความสงบ มีความเสมอภาค และมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างมีคุณภาพ

หลักการพัฒนาตนเอง คนที่จะพัฒนาตนเองจะเริ่มต้นด้วยการสำรวจและพิจารณาตนเองว่ามีข้อดีและข้อบกพร่องอะไรบ้าง การสำรวจจะใช้วิธีการส่องกระจก (คนที่เรามีความสัมพันธ์ด้วยช่วยบอก) เมื่อทราบแล้วก็จะมาวิเคราะห์ตนเองและตั้งเป้าหมายว่ามีสิ่งใดที่ดีและมีอยู่ในตัวเราแล้ว เราก็ควรรักษาไว้ สิ่งใดที่ไม่ดีและมีอยู่ในตัวเรา เราก็ควรจะหาทางทำให้ลดน้อยลงหรือควรขจัดให้หมดไป และมีสิ่งใดที่ดีและยังไม่มีในตัวเรา เราก็ควรจะนำมาเพิ่มให้กับตัวเราให้มากขึ้น เมื่อวิเคราะห์และตั้งเป้าหมายแล้ว ต่อไปก็คิดหาวิธีการ และวางแผนดำเนินการ โดยเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเราเอง เมื่อวางแผนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องนำแผนดำเนินการดังกล่าวมาดำเนินการ (ลงมือปฏิบัติจริง) ถ้าเราสามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้ ก็ถือว่าแผนการที่วางไว้เหมาะสมกับเรา แต่ถ้าทำไม่ได้ตามแผนก็ถือว่าแผนการนั้นไม่เหมาะสมกับเรา ต้องปรับปรุงให้เหมาะสมจนเราสามารถปฏิบัติได้ เมื่อดำเนินการตามแผนแล้ว จะต้องมีการประเมินผลการดำเนินการว่า
บรรลุเป้าหมายเพียงใด มีปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้างหรือไม่ระหว่างดำเนินการ ถ้ามีจะได้หาทางปรับปรุง เพื่อให้การดำเนินการในครั้งต่อไปมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถเขียนเป็นวงจรในการพัฒนาตนเองได้ตามแผนภาพ (ปราณี รามสูตร และจำรัสด้วงสุวรรณ, 2545, หน้า 123-125)


บรรณานุกรม

จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์. (2545). สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, สำนักอธิการบดี.

ปราณี รามสูตร และจำรัส ด้วงสุวรรณ. (2545). พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ธนะการพิมพ์.
ความหมายของสมรรถนะของนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

Oxford Shorter Dictionary (as cited in Cooper et al., 2001) ให้ความหมายสมรรถนะว่า หมายถึง การมีความสามารถหรือความรู้เพียงพอที่จะทำงานได้
McClelland (1998, p. 331) ให้ความหมายสมรรถนะว่า คือ ความรู้ (knowledge) ทักษะ (skills) และคุณลักษณะ (attributes) ที่จำเป็นในการปฏิบัติงานใดงานหนึ่ง (job roles) ให้ประสบความสำเร็จ โดยมีความโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ ในเชิงพฤติกรรม เช่น สามารถปฏิบัติงานได้มากกว่าเพื่อนร่วมงาน ในสถานการณ์ที่หลากหลายกว่าและได้ผลงานที่ดีกว่า
Brockbank, Ulrich, and Beatty (1999, p. 111) ให้ความหมายสมรรถนะไว้ว่า หมายถึง ความรู้ ความสามารถของบุคคลที่สัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานที่ดี และมีความเป็นมืออาชีพ
Dubois (as cited in Cooper et al., 2001) ให้ความหมายสมรรถนะในการทำงานไว้ว่า เป็นคุณลักษณะของบุคคล ซึ่งประกอบด้วย แรงจูงใจ (motive) อุปนิสัย (trait) ทักษะ (skill) ภาพลักษณ์ของตนเอง (self-image) บทบาททางสังคม (social role) หรือองค์ความรู้ (body of knowledge) ที่ส่งผลให้บุคคลนั้นมีการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศ
สำนักงาน ก.พ. (2548, หน้า 5-6) ให้ความหมายของสมรรถนะไว้ว่า หมายถึง คุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากความรู้ ทักษะ/ความสามารถและคุณลักษณะอื่น ๆ ที่ทำให้บุคคลสามารถสร้างผลงานได้โดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ในองค์กร


บรรณานุกรม

คนึงนิจ อนุโรจน์. นาวาอากาศโท หญิง. (2551). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสมรรถนะของนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กองทัพอากาศ. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

สำนักงาน ก.พ. (2548). การปรับใช้สมรรถนะในการบริหารทรัพยากรมนุษย์. ค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2550, จาก http://www.cscnewact.com/Uploads/0/41_pub_08 competency.pdf

Cooper, S., Lawrence, E., Kierstead, J., Lynch, B., & Luce, S. (2001). Competencies: A brief overview of development and application to public and private sectors. Retrieved April 6, 2008, from http://www .psagencyagencefp.gc.ca/research/personnel/comp overviewe.asp

Brockbank, W., Ulrich, D., & Beatty, R. W. (1999). HR Professional development: Creating the future creators at the University of Michigan Business School. Human Resource Management, 38, 111-118.

McClelland, D. C. (1998). Identifying competencies with behavioralevent interviews 1998. American Psychological Society, 5(9), 331-339.

แนวคิดสมรรถนะ (competency)

ผู้ริเริ่มแนวคิดเกี่ยวกับสมรรถนะ คือ McClelland (อ้างถึงใน เดชา เดชะวัฒนไพศาล, 2543, หน้า 11) นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Harvard โดย McClelland เสนอแนวคิดการบริหารทรัพยากรมนุษย์อย่างมืออาชีพ โดยนำแนวคิดเกี่ยวกับสมรรถนะมาใช้ในองค์กร ซึ่งจะช่วยผลักดันให้องค์กรบรรลุเป้าหมายและพันธกิจที่ตั้งไว้ McClelland กล่าวว่า การทดสอบเพียงเชาว์ปัญญาและความรู้ ไม่สามารถทำให้เราทราบได้ว่าบุคคลผู้นั้นจะสามารถทำงานได้ผลงานสูงกว่าหรือประสบความสำเร็จได้มากผู้อื่น แต่เป็นสมรรถนะในแต่ละบุคคล ที่บ่งชี้ถึงผลงานที่เด่นกว่า สูงกว่า (high performers)
ต่อมามีการนำแนวคิดดังกล่าว ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารบุคคลของหน่วยงานราชการของสหรัฐอเมริกา โดยกำหนดพื้นฐานทักษะความรู้และความสามารถหรือพฤติกรรมที่ต้องมีในตำแหน่งงานหนึ่ง ๆ ว่า จะต้องมีในเรื่องใดและอยู่ในระดับใด จึงจะทำให้บุคคลนั้นสามารถปฏิบัติงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ขององค์กร (Ozcelik & Ferman, 2006, p. 72) จากการนำแนวคิดดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในหลาย ๆ องค์กรพบว่าสมรรถนะของบุคลากรภายในองค์กรเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มศักยภาพขององค์กร (Ozcelik & Ferman, 2006, pp. 73) ทำให้หลายหน่วยงานนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในส่วนขององค์กรภาครัฐและเอกชน
สำนักงาน ก.พ. (2548, หน้า 4-5) ได้สรุปแนวคิดเรื่องสมรรถนะบุคลากรด้วยโมเดลภูเขาน้ำแข็ง (iceberg model) ดังนี้ คือ
ความแตกต่างระหว่างบุคคลเปรียบเทียบได้กับภูเขาน้ำแข็ง โดยส่วนที่เห็นและพัฒนาได้ง่ายคือส่วนที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ได้แก่ ความรู้และทักษะต่าง ๆ ที่บุคคลมีอยู่ แต่ส่วนใหญ่ที่มองเห็นได้ยากจะอยู่ใต้ผิวน้ำ ได้แก่ แรงจูงใจ อุปนิสัย ภาพลักษณ์ภายในและบทบาทที่แสดงออกต่อสังคม โดยส่วนที่อยู่ใต้น้ำนี้จะมีผลต่อพฤติกรรมในการทำงานของบุคคลอย่างมากและเป็นส่วนที่พัฒนาได้ยาก การที่บุคคลจะมีพฤติกรรมในการทำงานอย่างไรขึ้นอยู่กับคุณลักษณะที่บุคคลมีอยู่ คือ ความรู้ ทักษะ/ความสามารถซึ่งเป็นส่วนที่อยู่เหนือน้ำและคุณลักษณะอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ใต้น้ำของบุคคลนั้น ๆ
การที่องค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันให้ความสำคัญต่อสมรรถนะของบุคลากรในกระบวน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางการบริหารและธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันองค์กรในหลาย ๆ ประเทศกำลังให้ความสนใจต่อการสร้างคลังของผู้มีทักษะสมรรถนะสูง (pool of skill talent) และพัฒนาไปสู่การเป็นองค์กรระดับสากลหรือองค์กรข้ามชาติมากขึ้น จากสภาพแวดล้อมดังกล่าว ผู้ปฏิบัติงานด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องเร่งดำเนินการพัฒนาผู้นำองค์กร สรรหาและรักษาไว้ซึ่งบุคลากรที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันต้องเร่งดำเนินการเพิ่มผลิตผลทางด้านทรัพยากรมนุษย์ (workforce productivity) จัดระบบการบริหารค่าตอบแทนให้สอดคล้อง กับยุทธศาสตร์ขององค์กรและพัฒนาบุคลากรทุกคนให้สามารถปฏิบัติงานเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายขององค์กร อันเป็นการย้ำความสำคัญว่าสมรรถนะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบริหารทรัพยากรมนุษย์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยทำให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานมีส่วนขับเคลื่อนให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง (สำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคลสำนักงาน ก.พ., 2548, หน้า 3,5)


บรรณานุกรม

คนึงนิจ อนุโรจน์. นาวาอากาศโท หญิง. (2551). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสมรรถนะของนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กองทัพอากาศ. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

สำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคลสำนักงาน ก.พ. (2548). สมรรถนะและมาตรฐานวิชาชีพ การบริหารทรัพยากรบุคคล. กรุงเทพมหานคร: พี. เอ. ลิฟวิ่ง.

เดชา เดชะวัฒนไพศาล. (2543, ตุลาคม-ธันวาคม). Competency base human resource management. วารสารฅน, 21(4), 11-12.

สำนักงาน ก.พ. (2548). การปรับใช้สมรรถนะในการบริหารทรัพยากรมนุษย์. ค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2550, จาก http://www.cscnewact.com/Uploads/0/41_pub_08competency.pdf

Ozcelik, G., & Ferman, M. (2006). Competency approach to human resource management: Outcomes and contributions in a Turkish cultural context. Human Resource Development Review, 5(72), 72-91.

เงินกองทุน (Capital)

เงินกองทุน (Capital) หมายถึง ส่วนของเจ้าของ ได้แก่ หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์ และกำไรสะสม รวมถึงเงินสำรองตามกฎหมาย เงินกองทุนที่มีไว้เพื่อรองรับความเสียหายจากการดำเนินงานของสถาบันการเงิน เช่น การกันสำรองเมื่อเกิดหนี้เสีย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้สถาบันการเงินต้องมีไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8.5 ของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง

เงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1 Capital) หมายถึง ส่วนของทุนที่เป็นหุ้นจดทะเบียนและเรียกชำระค่าหุ้นแล้ว โดยรวมกำไรและขาดทุนสะสมจากการดำเนินงานในแต่ละงวดบัญชีไว้ด้วย เงินกองทุนชั้นที่ 1 นี้จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้จากผลการประกอบการของสถาบันการเงิน หรือเพิ่มขึ้นเนื่องจากนำหุ้นใหม่ออกขาย

เงินกองทุนชั้นที่ 2 (Tier 2 Capital) หมายถึง ทุนส่วนที่เพิ่มขึ้นชั่วคราว และอาจแปลงสภาพเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ได้ในบางกรณี เช่น หุ้นกู้แปลงสภาพหรือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ระยะยาว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงสำรองที่เกิดจากการตีราคาสินทรัพย์ถาวรด้วย

อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio--CAR) เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดความเพียงพอของเงินกองทุนของสถาบันการเงิน เพื่อแสดงถึงความมั่นคงและสามารถรองรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจ ปัจจุบันรัฐบาลกำหนดอัตราส่วนดังกล่าวตามมาตรฐาน BIS ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สากลยอมรับ โดยทั่วไปอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงแสดงถึงการที่สถาบันการเงินนั้นมีความมั่นคงและสามารถรองรับผลขาดทุนที่จะเกิดจากการประกอบกิจการและสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าได้อีกมาก

การกันสำรอง (Provisioning) เป็นวิธีการที่กำหนดให้สถาบันการเงินต้องกันเงินส่วนทุนไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อรองรับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อหรือลงทุน ซึ่งจะมีจำนวนมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับจำนวนความเสียหายที่คาดคะเนได้จากหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากสินเชื่อที่สถาบันการเงินได้ให้ไปแล้ว จำนวนเงินที่กันสำรองไว้ดังกล่าวถือเป็นค่าใช้จ่ายที่จะมีผลกระทบต่อกำไรขาดทุนของสถาบันการเงิน หากมีจำนวนมากจนทำให้สถาบันการเงินนั้นประสบภาวะขาดทุน ก็จะมีผลกระทบทำให้เงินกองทุนลดลงในที่สุด ดังนั้นเพื่อให้สถาบันการเงินดำเนินธุรกิจต่อไปได้ จำเป็นต้องมีการเพิ่มทุนใหม่

บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงินหรือ บบส. (Asset Management Corporation--AMC) เป็นสถาบันการเงินของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารและฟื้นฟูสินทรัพย์ที่รับโอนมาจากสถาบันการเงินที่มีปัญหา ให้มีคุณภาพดีขึ้นจนสามารถขายให้ผู้สนใจได้ ขณะนี้รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคเอกชนจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีปัญหาของแต่ละสถาบันการเงินขึ้นเองเพื่อให้แยกหนี้เสียออกจากสถาบันการเงินนั้นไปบริหารต่างหากได้

Purchase and Assumption (P & A) เป็นวิธีการที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่งเข้ารับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สิน ได้แก่ ลูกหนี้ เจ้าหนี้ และผู้ฝากเงินจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งแห่งใด หรือหลายแห่ง การรับซื้อหรือรับโอนนี้จะรับทั้งหมดหรือรับเพียงบางส่วนก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน และจะไม่มีผลกระทบต่อลูกหนี้ เจ้าหนี้ และผู้ฝากเงินที่ถูกซื้อหรือถูกโอนไป วิธีการนี้จึงมีผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสร้างภาระให้แก่รัฐบาลน้อยกว่าวิธีการปิดกิจการแล้วชำระบัญชี รวมทั้งเป็นวิธีการที่ดำเนินการได้สะดวกและเร็วกว่าการควบกิจการด้วย

กองทุนรวมตราสารหนี้

1.กองทุนรวมตราสารหนี้ (General Fixed Income Fund) เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝาก เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้เอกชน เป็นต้น โดยจะไม่ลงทุนในหุ้นหรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น รวมถึงตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน เช่น หุ้นกู้แปลงสภาพ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยกองทุนรวมประเภทนี้จะเหมาะกับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้น้อย เพราะธรรมชาติของตราสารหนี้ที่กองทุนรวมลงทุนนั้นมักให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยที่มีความสม่ำเสมอ นอกจากนี้แม้ว่าราคาของตราสารหนี้เองอาจจะมีความผันผวนขึ้นลงได้ตามสภาวะตลาด แต่ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่กองทุนรวมได้รับจากการลงทุนในตราสารหนี้เหล่านี้ก็ยังผันผวนไม่มากเท่ากับตราสารทุน

2.กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ ซึ่งมีกำหนดชำระเงินต้นเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืน หรือมีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงทุนในทรัพย์สินหรือเข้าทำสัญญาเหล่านั้น กองทุนรวมตลาดเงินมีลักษณะการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น มีความเสี่ยงต่ำ ความมั่นคงของเงินสูง และสภาพคล่องสูง เมื่อขายคืนสามารถรับเงินได้ภายใน 1 วัน เหมาะสำหรับเงินที่รอใช้จ่าย หรือรอลงทุนแทนการพักเงินในบัญชีออมทรัพย์หรือกระแสรายวัน ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนที่มีความปลอดภัยสูง และยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นของผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยง

3.กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund-Fixed Income) เป็นกองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป และเงินฝาก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวและสม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่เตรียมเงินไว้ใช้จ่ายในวัยเกษียณ และเป็นการสร้างหลักประกันอันมั่นคงให้แก่ตนเองและครอบครัว โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิพิเศษในการนำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดถึง 15% และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกบข. แล้วไม่เกิน 5 แสนบาทต่อปี และต้องลงทุนอย่างต่ำ 5,000 บาท หรือ 3% ของรายได้รวมทั้งปี ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามความเหมาะสมของตนเองได้

4.กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยมีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ หรือกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ (Foreign Investment Fund-Fixed Income) วัตถุประสงค์ของกองทุนจะระดมเงินที่ได้จากการจำหน่ายหน่วยลงทุนในประเทศไปลงทุนในต่างประเทศ โดยลงทุนในตราสารหนี้ที่ผู้ออกเป็นผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ ซึ่งเป็นได้ทั้งตราสารหนี้ภาครัฐและตราสารหนี้ภาคเอกชน กองทุนประเภทนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนในการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อแสวงหาตราสารหนี้ใหม่ ๆ สำหรับลงทุนและเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า อย่างไรก็ตามการลงทุนในต่างประเทศยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่จะป้องกันความเสี่ยงโดยการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (forward) เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวไว้ ดังนั้นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มผู้มีเงินออมเป็นอย่างมาก เช่น กองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นกองทุนนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ เป็นต้น

5.กองทุนรวมคุ้มครองเงินต้นที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ (Capital Protected Fund-Fixed Income) เป็นกองทุนรวมที่บริษัทจัดการมีการวางแผนการลงทุน เพื่อให้คุ้มครองเงินลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยจะนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไปและเงินฝากซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ แต่จะมีการนำเงินส่วนน้อยอีกส่วนหนึ่งไปลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อเฉลี่ยกับเงินลงทุนส่วนใหญ่แล้วมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ดังนั้นกองทุนรวมคุ้มครองเงินต้นจึงมักจะมีข้อกำหนดในเรื่องระยะเวลาในการถือครองหน่วยลงทุนกับผู้ลงทุน หากผู้ลงทุนประสงค์ที่จะได้รับการคุ้มครองเงินต้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในโครงการ ซึ่งบริษัทจัดการจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานก.ล.ต. กำหนดไว้ในการจัดการกองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น และต้องได้รับอนุมัติจากสำนักงานก.ล.ต. ให้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมประเภทนี้

6.กองทุนรวมดัชนีตราสารหนี้ (Index Fund-Fixed Income) มีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบตามการเคลื่อนไหวของดัชนีราคาตราสารหนี้ ตัวอย่างดัชนีตราสารหนี้ เช่น ThaiBMA Government Bond Index สำหรับประเทศไทยนั้นกองทุนรวมดัชนีตราสารหนี้มิได้มีให้เลือกลงทุน เนื่องจากการมีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำของตราสารหนี้ที่ใช้ในการคำนวณดัชนี ดังนั้นกองทุนรวมดัชนีที่มีให้นักลงทุนเลือกลงทุน จึงเป็นกองทุนรวมดัชนีตราสารทุนซึ่งมีการอ้างอิงการลงทุนตามดัชนี SET 50 หรือ SET 100 เป็นต้น

7.กองทุนรวมอีทีเอฟที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ (Exchange Traded Fund-Fixed Income) มีการลงทุนในตราสารหนี้ตามสัดส่วนมูลค่าของตราสารหนี้แต่ละประเภทที่มีอยู่ในตลาด เพื่อสร้างผลตอบตามการเคลื่อนไหวของดัชนีราคาตราสารหนี้ แต่กองทุนรวมประเภทนี้มีลักษณะเด่นที่ต่างจากกองทุนรวมประเภทอื่น คือ กองทุนรวมประเภทนี้ถูกนำไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้กองทุนรวมประเภทนี้มีสภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยลงทุนมากกว่ากองทุนรวมอื่น

8.กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ (Country Fund-Fixed Income) เป็นกองทุนรวมที่มีลักษณะพิเศษ คือ กองทุนจะเสนอขายหน่วยลงทุนทั้งหมดแก่บุคคลที่มีภูมิลำเนานอกประเทศ เพื่อระดมเงินมาลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศไทย