Custom Search
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation)

ประการแรก ต้นทุนสินค้าเพิ่ม ทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าขึ้น สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น อาทิ การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน การเกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ การเพิ่มกำไรของผู้ประกอบการ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านำเข้า ซึ่งอาจเพิ่มไปตามภาวะ ตลาดโลก หรือผลของอัตราแลกเปลี่ยน
*ต้นทุนการผลิตคือสิ่งที่ใช้พิจารณา นโยบายกำหนดราคาสินค้าและบริการ ถ้าต้นทุนเพิ่มขึ้นไม่ว่าจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น หรือราคา วัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าต้องเพิ่มขึ้นด้วย ราคาสินค้าสูงขึ้นผู้บริโภคต้องใช้เงินมากกว่าเดิมทำให้ปริมาณเงินที่ไหล เข้าสู่ตลาดมากขึ้น

ประการที่สอง ความต้องการสินค้าเพิ่ม (ปริมาณที่ต้องการซื้อมากขึ้นทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น) หรือที่เรียกว่า แรงดึงทางด้านอุปสงค์ เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจมีความต้องการปริมาณสินค้าและบริการมากกว่าที่มี อยู่ในขณะนั้นๆจึงดึงให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าและบริการอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงิน การดำเนินนโยบายการคลังของภาครัฐบาล การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในต่างประเทศ เช่นเมื่อพนักงานได้รับค่าแรงเพิ่มทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการบริโภคมากขึ้นทำ ให้ความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นสาเหตุผลัก ดันให้เกิดเงินเฟ้อ ภาคการผลิตเมื่อสินค้าราคาดีขึ้นก็จะมีคนเร่งผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายทำให้ ต้องจ่ายค่าแรงในรูปของค่าล่วงเวลา ก็จะทำให้รายได้ ของพนักงานเพิ่มขึ้นอีก ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะหมุนเป็นวัฏจักรผลักดันทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจแบบฟองสบู่ ในที่สุด เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเรื่อย ๆ ราคาสินค้าก็สูงขึ้นจนทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพง

การแบ่งชนิดของอัตราเงินเฟ้อ
ตามหลักวิชาการจะแบ่งอัตราเงินเฟ้อเป็น 3 ประเภทคือ

1. เงินเฟ้ออย่างอ่อน คือ อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นไม่เกินร้อยละ 5 (ทำให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุน) มักจะเกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นภาวะปกติและไม่มีผลเสียหายต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่กลับจะส่งผลดีคือ ทำให้มีการกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจทางด้านการลงทุน การผลิต การจ้างงาน และรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น
2. เงินเฟ้อปานกลาง คือ อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเกินร้อยละ 5 แต่ไม่เกิน ร้อยละ 20 (สินค้าโดยทั่วไปราคาแพง)ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการผลิต เพราะต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าก็จะสูงตามขึ้นไป ประชาชนจะประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้นโดยได้รับความเดือดร้อนเรื่องราคา สินค้าแพง ดังนั้นรัฐบาลจะยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไขโดยใช้มาตรการทางการเงินและการคลัง

3. เงินเฟ้ออย่างรุนแรง คือ การที่ระดับราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นไปอย่างกว้างขวาง โดยระดับราคาจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 20% ต่อปี ทำให้อำนาจการซื้อของเงินลดลงอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งมักเกิดขึ้นในขณะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ สงคราม หรือ รัฐบาลทำการพิมพ์ธนบัตรออกมาหมุนเวียนมากเกินไป อย่างเช่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเยอรมนี จีนและประเทศไทย ได้พิมพ์ธนบัตรออกใช้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด จึงเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรงจนทำให้ธนบัตรแทบจะไม่สามารถทำหน้าที่ชำระหนี้ ตามกฎหมายได้

ภาวะการว่างงาน (Unemployment)

การว่างงานสามารถบอกได้ 2 ลักษณะคือ จำนวนคนที่ว่างงาน และ % ของคนที่ว่างงาน
  • จำนวนคนที่ว่างงาน = จำนวนคนที่อยู่ในวัยทำงานและต้องการที่จะทำงานแต่กลับไม่มีงานทำ
  • ส่วนถ้าจะบอกเป็น % = จำนวนคนที่ว่างงาน / จำนวนแรงงานทั้งหมด (นั่นก็คือ คนที่ได้งาน + คนที่ว่างงาน)
สาเหตุของการว่างงานนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ Equilibrium unemployment และ Disequilibrium unemployment แต่เราจะต้องทำความเข้าใจตลาดแรงงานเสียก่อน
ตลาดแรงงานก็เหมือนกัยตลาดสินค้า ซึ่ง Supply ของแรงงานก็คือ จำนวนคนที่ต้องการงานที่ระดับค่าจ้างต่างๆ ซึ่งเส้นกราฟจะค่อนข้าง inelastic (ไม่ค่อยเปลี่ยนจำนวนแรงงานเมื่อเปลี่ยนค่าจ้าง) เนื่องจากจำนวนแรงงานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้น ส่วน Demand ของแรงงานก็คือ ปริมาณคนงานที่นายจ้างต้องการที่ระดับค่าจ้างต่างๆ ( ถ้าค่าจ้างสูงไป นายจ้างอาจเปลี่ยนไปใช้ปัจจัยการผลิตอื่นๆแทนได้ )

ถ้าหาก Demand กับ Supply ไม่สมดุลกัน เช่นระดับค่าจ้างสูงกว่าจุดสมดุล มันก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Disequilibrium unemployment ขึ้น (Supply > Demand ทำให้ คนว่างงาน )

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ว่าระดับค่าจ้างจะอยู่ที่จุดสมดุลแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการจ้างงาน ซึ่งสาเหตุอาจมาจากบางคนยังหวังที่จะได้ทำงานที่ดีขึ้นอีก การว่างงานก็คือ ผลต่างระหว่างจำนวนแรงงานทั้งหมด (O2) และ จำนวนแรงงานที่ได้รับการจ้างงาน (O1) เราเรียกการว่างงานในลักษณะนี้ว่า Equilibrium rate of unemployment หรือ Natural Rate of Unemployment หรือ Non-Accelerating-Inflation Rate of Unemployment (NAIRU) นั่นเอง